TrueID
TH
รีเซต
ผลการค้นหา “the lord of the rings” - ทรูไอดี
ยอดนิยม
ดู
สิทธิพิเศษ
อ่าน
คลิปสั้น
อ่าน
รีวิว: ความประทับใจในตัวแซมไวส์ แกมจี (Samwise Gamgee) จาก The Lord of the Rings
ความสนุกและความประทับใจในตัวละคร แซมไวส์ แกมจี หรือที่เราเรียกติดปากว่า "แซม" ไม่ใช่แค่ตัวละครสมทบ แต่เขาเป็นหัวใจสำคัญของเรื่องราวใน The Lord of the Rings เลยก็ว่าได้! แซมไม่ได้มีพลังวิเศษ ไม่มีดาบคมกริบแบบอารากอน หรือความกล้าหาญบ้าบิ่นแบบกิมลี แต่เขามีหัวใจที่ยิ่งใหญ่และความจงรักภักดีที่ไม่มีใครเทียบได้ รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! ความสนุกของตัวละครแซมคือความจริงใจและความมุ่งมั่นในการช่วยโฟรโดเดินทางไปทำภารกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ แม้จะเจออุปสรรคแค่ไหน เขาไม่เคยถอดใจเลย มีฉากฮา ๆ จากความเปิ่นนิด ๆ ของเขา เช่น เวลาตื่นเต้นแล้วพูดผิด หรือความล้นเกินเวลาแสดงความห่วงใยโฟรโด แต่นั่นคือเสน่ห์ที่ทำให้คนดูหลงรักเขา ฉากที่ประทับใจที่สุด “I can’t carry it for you, but I can carry you.” ฉากที่แซมแบกโฟรโดขึ้นภูเขามอร์ดอร์เป็นฉากที่เต็มไปด้วยพลังใจและความเสียสละสุด ๆ มันแสดงให้เห็นว่าแซมพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเพื่อนรักของเขา แม้จะไม่ใช่คนที่ได้รับการคัดเลือกให้แบกแหวน แต่หัวใจของเขาก็ยิ่งใหญ่กว่าภารกิจนี้ ฉากทำอาหารกับปลาสดในตอนต้นเรื่อง ฉากนี้เป็นมุมเล็ก ๆ ที่แสดงให้เห็นว่าแซมเป็นคนรักสงบและมีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าการทำอาหารอร่อย ๆ และใช้ชีวิตเรียบง่าย การเผชิญหน้ากับกอลลัม แซมไม่เคยไว้ใจกอลลัม แต่เขาก็อดทนและพยายามเก็บความโกรธไว้เพื่อไม่ให้กระทบต่อภารกิจ ความขัดแย้งระหว่างแซมและกอลลัมทำให้เรื่องราวมีความเข้มข้นและดราม่ามากขึ้น การแสดงของ Sean Astin Sean Astin แสดงบทแซมได้สมบูรณ์แบบมาก! เขาไม่ใช่แค่แสดงเป็นเพื่อนรักของโฟรโด แต่เขา เป็น แซมจริง ๆ ความอบอุ่นในสายตา น้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใย และพลังใจที่แสดงออกมาในทุกฉากทำให้เรารู้สึกเหมือนกำลังดูเพื่อนแท้ที่พร้อมสละทุกอย่างเพื่อคนที่เขารัก การแสดงของเขาในฉากอารมณ์ เช่น ตอนที่เสียใจและร้องไห้ ทำให้เราน้ำตาซึมไปด้วย อ้อมได้อะไรจากตัวละครแซม ความซื่อสัตย์และความจงรักภักดี แซมสอนให้เราเห็นว่าความสำคัญของมิตรภาพไม่ได้อยู่ที่การเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุด แต่อยู่ที่การพร้อมจะอยู่เคียงข้างเสมอในวันที่เพื่อนต้องการ อย่ายอมแพ้ต่อความหวัง ไม่ว่าหนทางจะยากลำบากแค่ไหน แซมไม่เคยยอมแพ้และไม่เคยปล่อยให้โฟรโดเดินเดียวดาย ความหวังและความเชื่อมั่นของแซมช่วยผลักดันเรื่องราวทั้งหมด ความเรียบง่ายคือความสุข แซมไม่ได้ต้องการความยิ่งใหญ่หรือชัยชนะที่โลกต้องจดจำ เขาแค่อยากกลับบ้านไปปลูกผัก ทำอาหาร และใช้ชีวิตกับคนที่เขารัก ซึ่งเป็นบทเรียนที่เรียบง่ายแต่งดงามมาก สรุปความประทับใจ แซมเป็นตัวละครที่ทำให้เรารู้ว่าฮีโร่ไม่จำเป็นต้องมีพลังวิเศษหรืออาวุธสุดล้ำ แค่มีหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ก็เพียงพอแล้วที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนดู ความสัมพันธ์ของแซมและโฟรโดเป็นหนึ่งในแกนหลักที่ทำให้ The Lord of the Rings ยิ่งใหญ่ทั้งในแง่ของเนื้อเรื่องและความรู้สึกในใจคนดู! 💖 อ้างอิง ภาพจาก The Lord of the Rings Trilogy | Facebook / ภาพที่ #1 / ภาพที่ #2 / ภาพที่ #3 / ภาพที่ #4 / ภาพหน้าปก เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
063******* • 31 ธ.ค. 67
อ่าน
อารากอนใน The Lord of the Rings: แก่นแท้ของความเป็นฮีโร่ในมิดเดิลเอิร์ธ
บทบาทของอารากอน (Aragorn) ในไตรภาค The Lord of the Rings อารากอนไม่ใช่แค่ตัวละครธรรมดา แต่เป็นแก่นสำคัญที่เชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดในมิดเดิลเอิร์ธ ตั้งแต่การเป็นนักเดินทางผู้ลึกลับไปจนถึงการสวมมงกุฎเป็นกษัตริย์แห่งกอนดอร์ การเดินทางของอารากอนสะท้อนให้เห็นถึงความกล้าหาญ ความเสียสละ และความรับผิดชอบที่แท้จริง รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! 1. ผู้นำที่ไม่ได้เกิดมาเพื่ออำนาจ แต่เพื่อรับใช้ผู้อื่น อารากอนเริ่มต้นในฐานะ "สไตรเดอร์" (Strider) นักเดินทางที่เหมือนจะหลีกหนีความเป็นจริงและโชคชะตาของตัวเอง แต่เขาไม่ได้หนีเพราะขี้ขลาด หากแต่เพราะเขาเชื่อว่าโลกไม่ได้ต้องการผู้นำอย่างเขา ในช่วงแรก เขาปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งกษัตริย์แห่งกอนดอร์ แต่เมื่อภัยคุกคามจากเซารอน (Sauron) และแหวนแห่งอำนาจเริ่มครอบงำโลก อารากอนได้พิสูจน์ว่าความเป็นผู้นำไม่ได้มาจากบัลลังก์ แต่มาจากการเสียสละและต่อสู้เพื่อปกป้องผู้คน 2. สัญลักษณ์ของความหวัง อารากอนเป็นตัวแทนของความหวังที่ยังหลงเหลือในโลกที่ถูกครอบงำด้วยความมืด แม้ในช่วงเวลาที่ทุกคนสิ้นหวัง เขายังคงยืนหยัดเพื่อชี้นำและให้กำลังใจแก่คนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้เคียงข้างโฟรโดและแซม หรือการนำทัพของโรฮันและกอนดอร์สู้กับกองกำลังของเซารอน ฉากที่อารากอนนำทัพไปยังประตูดำใน The Return of the King เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่สะท้อนความยิ่งใหญ่ของเขา การกล่าวปราศรัยก่อนสงคราม ("This day, we fight!") สร้างแรงกระตุ้นให้ทุกคนลุกขึ้นสู้ แม้โอกาสชนะจะดูริบหรี่ 3. ความสำคัญต่อกลุ่มพันธมิตรแห่งแหวน ในฐานะหนึ่งในสมาชิกกลุ่มพันธมิตรแห่งแหวน อารากอนเป็นทั้งผู้ปกป้องและผู้นำที่คอยประคับประคองกลุ่มให้อยู่ร่วมกันได้ แม้พันธมิตรจะมีความหลากหลายทั้งเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ และความเชื่อ แต่เขาแสดงให้เห็นว่าความสามัคคีและการเสียสละเพื่อเป้าหมายเดียวกันสามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดได้ 4. ความรักที่เป็นแรงผลักดัน ความรักระหว่างอารากอนและอาร์เวน (Arwen) ทำให้ตัวละครนี้มีมิติที่ลึกซึ้ง ความรักของพวกเขาไม่ได้แสดงออกผ่านคำพูดหวาน ๆ หากแต่ผ่านการเสียสละ เช่น การที่อาร์เวนเลือกละทิ้งชีวิตอมตะเพื่ออยู่กับอารากอน และการที่อารากอนต่อสู้เพื่อสร้างโลกที่อาร์เวนจะมีความสุขได้ 5. พัฒนาการจากชายธรรมดาสู่กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ หนึ่งในแก่นสำคัญของ The Lord of the Rings คือการเดินทางของอารากอนจากชายที่หลีกเลี่ยงโชคชะตา สู่การยอมรับบทบาทกษัตริย์แห่งกอนดอร์ ความยิ่งใหญ่ของเขาไม่ได้มาจากมงกุฎ แต่จากการเป็นผู้นำที่มีหัวใจยิ่งใหญ่ ความสำคัญของอารากอนในเรื่อง หากเปรียบ The Lord of the Rings เป็นเรื่องราวของการต่อสู้ระหว่างความมืดและแสงสว่าง อารากอนก็คือแสงสว่างที่คอยนำทางผู้คนไปสู่ความหวังและชัยชนะ เขาไม่ได้เป็นเพียงฮีโร่ในความหมายของคนที่เอาชนะความชั่วร้าย แต่เป็นฮีโร่ในแง่ของคนที่เลือกเสียสละเพื่อคนอื่น การเดินทางของอารากอนสอนเราว่า ความยิ่งใหญ่ไม่ได้เกิดจากตำแหน่งหรืออำนาจ แต่เกิดจากการเลือกทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้จะยากเย็นแค่ไหน ข้อคิดจากอารากอน "ความกล้าหาญไม่ได้หมายถึงการไม่มีความกลัว แต่มันคือการเผชิญหน้ากับความกลัวเพื่อสิ่งที่สำคัญกว่า" "ความหวังจะคงอยู่ตราบใดที่เรายังเชื่อในมัน" ในโลกของ The Lord of the Rings อารากอนคือแกนกลางของเรื่องราว และในโลกของเรา เขาคือตัวอย่างของความเป็นผู้นำที่แท้จริง อ้างอิง ภาพจาก Facebook The Lord of the Rings Trilogy / ภาพที่ #1 / ภาพที่ #2 / ภาพที่ #3 / ภาพที่ #4 / ภาพหน้าปก เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
063******* • 31 ธ.ค. 67
อ่าน
ดู Lord of the Rings แล้วย้อนดูตัว ถ้าเราเป็นโฟรโด้ จะยอมทิ้งแหวนไหมนะ?
ก่อนจะไปถึงคำตอบว่าถ้าเป็นเรา เราจะทิ้งแหวนไหม มาเริ่มจากการสรุปเรื่องราวของ The Lord of the Rings กันสักนิดนะคะ นี่คือผลงานสุดยิ่งใหญ่จาก J.R.R. Tolkien ที่เล่าถึงการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ในโลก Middle-earth ซึ่งจะทำให้ใครหลายๆ คนรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งจินตนาการที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์และการต่อสู้ระหว่างดีและชั่ว รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! เรื่องราวเริ่มต้นจากแหวนทองคำที่มีพลังอำนาจสูงสุด สามารถควบคุมจิตใจของผู้คนได้ แหวนนี้ถูกสร้างขึ้นโดยมาร์ดูก (Sauron) เพื่อควบคุมโลกทั้งใบ แต่เมื่อแหวนตกไปอยู่ในมือของเบลอริออน (Gollum) มันก็สูญหายไป ก่อนจะถูกพบโดยบิลโบ แบ็กกินส์ ซึ่งไม่รู้ตัวว่ามันคือแหวนที่มีพลังอำนาจอย่างมาก หลังจากนั้น แหวนก็มาอยู่ในมือของโฟรโด้ แบ็กกินส์ ซึ่งถูกเลือกให้เป็นผู้ที่ต้องนำแหวนไปทำลายที่ภูเขาแห่งความมืดเพื่อไม่ให้มาร์ดูกสามารถใช้แหวนเพื่อครองโลกได้ โฟรโด้ไม่ได้เดินทางคนเดียว เขามีเพื่อนๆ คอยช่วยเหลือ ได้แก่ แซม ซาก้า, เมอรี และปิปปิน รวมไปถึงนักรบจากหลายเผ่าพันธุ์ เช่น อารากอร์น, เลโกลาส, และกิมลี ที่ร่วมเดินทางเพื่อต่อสู้กับกองทัพของมาร์ดูกและทำลายแหวนให้ได้ แต่การเดินทางนี้ไม่ได้ง่ายดาย เพราะแหวนมีพลังที่จะควบคุมจิตใจและทำให้ผู้ที่ครอบครองมันต้องตกอยู่ในอำนาจของมัน สุดท้าย โฟรโด้และแซมก็สามารถมาถึงภูเขาแห่งความมืดได้ แต่โฟรโด้กลับไม่สามารถทิ้งแหวนได้เมื่อถึงเวลาความสำคัญที่สุด ท้ายที่สุดแล้ว แซมก็เป็นคนช่วยโฟรโด้ทำลายแหวนได้สำเร็จ แม้จะมีความยากลำบากแค่ไหนก็ตาม และถ้าเป็นเรา… จะทิ้งแหวนไหม? หลังจากที่เราได้ดู The Lord of the Rings อย่างละเอียดแล้ว ถามจริง... ถ้าเป็นเราในบทโฟรโด้เนี่ย จะทิ้งแหวนไหม? คำตอบง่ายมาก... ไม่ค่ะ! 555 เอาจริงๆ เมื่อเราดูเรื่องนี้ครั้งแรก ก็รู้สึกว่า "โอ้โห โฟรโด้ต้องทำอะไรหนักมากเลยนะ" การต้องพกแหวนไปทำลายที่ภูเขาแห่งความมืดมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยิ่งเมื่อแหวนมันมีพลังที่สามารถครอบงำจิตใจได้ขนาดนั้น! บางทีเราก็ต้องบอกตัวเองว่า “ถ้าเรารู้ว่าแหวนมันจะทำให้เราเสียตัวตนขนาดนั้น เราคงไม่ยอมเลือกเดินทางนี้แน่ๆ” แต่ใครจะไปคิดล่ะ... พอเห็นโฟรโด้ที่ไม่ยอมทิ้งแหวน (แม้จะรู้ว่าอำนาจของมันจะทำลายโลกทั้งใบ) มันก็เริ่มคิดขึ้นมาในใจว่า ถ้าเราเป็นเขาล่ะ? การที่โฟรโด้พยายามจะทำลายแหวนแม้จะรู้ว่าแหวนมีพลังดึงดูดแค่ไหน มันก็เป็นเหมือนการท้าทายตัวเองให้ก้าวข้ามอำนาจที่มันมีอยู่ในมือ ฉันเองก็มีช่วงเวลาที่เหมือนกับโฟรโด้ คือการมีสิ่งที่ดึงดูดใจให้เราไม่อยากปล่อยมันไป บางทีการทิ้งอะไรที่มันให้ความรู้สึกดีในตอนนั้นก็ยากเหมือนกันนะ (ยิ่งถ้ามันมีพลังแบบแหวนทองคำ!) ดังนั้นถ้าให้เลือก... เราคงจะเป็นโฟรโด้ที่ไม่ทิ้งแหวนหรอกค่ะ! แต่ในขณะเดียวกัน โฟรโด้ก็ได้เรียนรู้ในตอนสุดท้ายว่า บางครั้งการทิ้งสิ่งที่ยึดติดกับเรามานานมันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะเมื่อแหวนถูกทำลาย โลกก็กลับมาสงบสุขเหมือนเดิม แต่ถ้าเป็นเรา... อย่างที่บอกค่ะ จะพยายามยื้อให้ได้ก่อนแน่ๆ (จนโดนแซมลากออกมา) แต่สุดท้ายคงจะทิ้งไปในที่สุด เมื่อรู้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เราควรยึดติดอีกต่อไป สิ่งที่เราเรียนรู้จากโฟรโด้คือนอกจากการเดินทางที่ยาวไกลแล้ว ยังมีเรื่องการที่เขาไม่ยอมแพ้แม้จะเจอกับความยากลำบาก ความท้าทาย และการต้องเผชิญหน้ากับตัวเองในทุกขั้นตอน เราเองก็ได้เรียนรู้จากโฟรโด้ว่า บางครั้งการยอมปล่อยวางเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และการเดินทางที่แท้จริงคือการเรียนรู้และเติบโตไปพร้อมกับอุปสรรคที่เข้ามา สุดท้าย... ถ้าเป็นโฟรโด้ เราคงจะทิ้งแหวนได้ตอนสุดท้ายแหละค่ะ แต่จะไม่ยอมทิ้งแหวนตอนแรกแน่นอน ฮ่าๆ อ้างอิง ภาพจาก Facebook The Lord of the Rings Trilogy / ภาพที่ #1 / ภาพที่ #2 / ภาพที่ #3 / ภาพที่ #4 / ภาพหน้าปก เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
063******* • 18 ธ.ค. 67
อ่าน
The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim ศึกแห่งโรฮิริม
เรื่องย่อ The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim ศึกแห่งโรฮิริม ชื่อเรื่อง The Lord of the Rings: The War of the Rohirrim ศึกแห่งโรฮิริมประเภท แอนิเมชัน / แอคชัน / ผจญภัย / สงครามให้เสียงพากย์โดย ไบรอัน ค็อกซ์, ไกอา ไวส์, ลุค ปาสควาลิโน, มิแรนดา ออตโตกำกับโดย เคนจิ คามิยามะกำหนดฉาย 5 ธันวาคม 2024ความยาว 130 นาที อ่านรีวิวหนังได้ที่นี่
เรื่องย่อหนัง • 30 พ.ย. 67
อ่าน
เดินทางไปกับมิตรภาพและความกล้าหาญใน The Lord of the Rings: ตำนานการผจญภัยที่ไม่มีวันลืม
"The Lord of the Rings" เป็นหนังอีกชุดหนึ่งที่อ้อมเปิดดูเป็นประจำ วันนี้จะพาทุกคนเดินทางไปสู่ Middle-earth กับความทรงจำที่ลืมไม่ลงของอ้อม ไปด้วยกันนะคะ อ้อมขอบอกเลยว่าตำนาน The Lord of the Rings นี่ไม่ได้แค่สนุกปกติ แต่คือ การเดินทางสุดเข้มข้นของโฟรโดและผองเพื่อน ที่ทำให้เราเหมือนออกไปผจญภัยด้วยกันจริงๆ! ทั้ง 3 ภาคที่ประกอบด้วย The Fellowship of the Ring, The Two Towers, และ The Return of the King มันเป็นเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่อลังการและตรึงใจตั้งแต่ต้นจนจบ! รับชมหนังซีรีส์ระดับพรีเมียม กดสมัคร TrueID+ ดูได้ทุกที่ 24ชม. คลิก!! เรื่องย่อ ภาคแรก - The Fellowship of the Ring โฟรโด ฮอบบิทหนุ่มจากไชร์ ได้แหวนแห่งอำนาจมาแบบไม่ตั้งใจและต้องพยายามทำลายมันให้ได้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายเลย ต้องเดินทางไปกับแก๊งค์พันธมิตรที่มีทั้งคนแคระเอลฟ์ นักรบ มนุษย์ และพ่อมด ช่วยกันจนรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน ภาคสอง - The Two Towers โฟรโดกับแซมแยกเดินทางไปที่มอร์ดอร์ ส่วนแก๊งค์ที่เหลือก็ไปเข้าร่วมการต่อสู้ที่ดุเดือด ฉาก Helm's Deep นี่อลังการจนอยากวิ่งเข้าไปช่วยสู้ ส่วนกอลลัมที่ตามไปกับโฟรโดและแซม ก็มีบทบาทที่ทำให้เราสงสัยว่าจะไว้ใจได้ไหม ฉากนี้ทำให้หัวใจเต้นแรงไม่หยุดเลย! ภาคสาม - The Return of the King ที่สุดของการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ระหว่างความดีและความชั่ว โฟรโดต้องทำลายแหวนให้สำเร็จ ในขณะที่อารากอร์นนำทัพป้องกันเมืองไปพร้อมๆ กัน สงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาถึงจุดจบ ซึ่งทำให้เรารู้สึกทั้งซึ้งและประทับใจที่ทุกคนพร้อมเสียสละเพื่อปกป้องโลก ความประทับใจ ตอนดูหนังนี้ รู้สึกเหมือนเราได้บทเรียนชีวิตจริงๆ! ได้รู้ว่ามิตรภาพและการเสียสละสำคัญแค่ไหน อินดี้คือบทเรียนว่าบางครั้งในชีวิตเราต้องท้าทายความกลัวเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นและทำในสิ่งที่ถูกต้อง ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่าไม่ว่าจะเป็นใครก็มีหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ได้ เหมือนโฟรโด ที่เริ่มจากฮอบบิทธรรมดา กลายเป็นวีรบุรุษผู้เปลี่ยนโลก หนังชุดนี้ยังพาเราไปเห็นถึง ความซับซ้อนของจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นโฟรโดที่ต้องต่อสู้กับความโลภในตัวเองทุกครั้งที่จับแหวนไว้ หรือกอลลัมที่ตกอยู่ในความบ้าคลั่ง ทุกตัวละครทำให้เราเข้าใจว่าเราเองก็มีทั้งด้านมืดและด้านดี ต้องเลือกที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องเสมอ บทความนี้สำหรับใครที่ชอบการผจญภัย หรือต้องการแรงบันดาลใจในการเผชิญปัญหาในชีวิตจริง ๆ ถ้าใครยังไม่เคยดู The Lord of the Rings แนะนำเลยค่ะ! อ้างอิง ภาพจาก Instagram lotr.official / ภาพที่ #1 / ภาพที่ #2 / ภาพที่ #3 / ภาพที่ #4 / ภาพที่ #5 / ภาพหน้าปก เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
063******* • 18 พ.ย. 67
อ่าน
รีวิวเกมเก่า The Lord of the Rings The Third Age เกม RPG ที่แฟนลอร์ดออฟเดอะริงส์ไม่ควร
The Lord of the Rings: The Third Age เป็นเกม RPG ที่ออกวางจำหน่ายในปี 2004 โดย Electronic Arts สำหรับแพลตฟอร์ม PlayStation 2, Xbox และ GameCube เกมนี้นำเสนอเรื่องราวคู่ขนานกับภาพยนตร์ไตรภาคเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ โดยผู้เล่นจะได้สวมบทบาทเป็นกลุ่มตัวละครใหม่ที่เดินทางไปทั่วมิดเดิลเอิร์ธ เนื้อเรื่อง: เกมเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวละครหลัก Berethor นักรบแห่งกอนดอร์ที่กำลังตามหา Boromir เขาได้พบกับ Idrial นางเอลฟ์จากริเวนเดลล์ และร่วมเดินทางกัน ระหว่างทางพวกเขาได้พบกับสมาชิกใหม่อีก 4 คน ได้แก่ Elegost เรนเจอร์แห่งดูเนไดน์, Hadhod คนแคระนักขวานจากเอเรบอร์, Morwen หญิงสาวแห่งโรฮาน และ Eaoden อัศวินแห่งโรฮาน เนื้อเรื่องของเกมดำเนินไปคู่ขนานกับเหตุการณ์ในภาพยนตร์ โดยกลุ่มของ Berethor จะเดินทางไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น โมเรีย ดงไพรฟังกอร์น เฮลม์ส ดีป และมินาส ทิริธ พวกเขาได้พบเจอกับตัวละครที่คุ้นเคยจากภาพยนตร์ และมีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญหลายอย่าง แม้จะไม่ได้มีบทบาทหลักเท่ากับพระเอกในภาพยนตร์ ระบบการเล่น: The Third Age ใช้ระบบการต่อสู้แบบผลัดเปลี่ยนกันโจมตี (turn-based) คล้ายกับซีรีส์ Final Fantasy ผู้เล่นสามารถควบคุมตัวละครได้ 3 ตัวในแต่ละการต่อสู้ โดยแต่ละตัวละครจะมีความสามารถและสกิลที่แตกต่างกันไป เช่น Berethor เน้นการโจมตีด้วยดาบ ในขณะที่ Idrial เชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์และการรักษา ระบบสกิลของเกมค่อนข้างน่าสนใจ ผู้เล่นสามารถเลือกพัฒนาสกิลต่างๆ ได้ตามต้องการ โดยแต่ละสกิลจะมีระดับความแข็งแกร่งที่แตกต่างกัน การใช้สกิลบ่อยๆ จะทำให้สกิลนั้นแข็งแกร่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบ "Evil Mode" ที่ให้ผู้เล่นได้ควบคุมฝ่ายศัตรูในบางฉาก ซึ่งเป็นความท้าทายและความแปลกใหม่ที่น่าสนใจ กราฟิกและเสียง: สำหรับเกมในยุคนั้น The Third Age มีกราฟิกที่ถือว่าดีทีเดียว โดยเฉพาะฉากหลังและสภาพแวดล้อมที่สวยงามสมจริง ตัวละครมีการออกแบบที่ดี แม้จะไม่ละเอียดเท่าในภาพยนตร์ แต่ก็สามารถถ่ายทอดบุคลิกของตัวละครได้ดี ด้านเสียง เกมใช้เพลงประกอบจากภาพยนตร์ ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศได้ดีมาก เสียงพากย์ของตัวละครก็ทำได้ดี แม้จะไม่ใช่นักแสดงจากภาพยนตร์ แต่ก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครได้อย่างน่าประทับใจ ข้อดีและข้อเสีย: ข้อดี: 1. เนื้อเรื่องที่น่าสนใจ เชื่อมโยงกับภาพยนตร์ได้ดี 2. ระบบการต่อสู้ที่สนุกและท้าทาย 3. กราฟิกและเสียงที่สวยงาม สร้างบรรยากาศได้ดี 4. ระบบสกิลที่หลากหลายและปรับแต่งได้ 5. โหมด Evil Mode ที่เพิ่มความหลากหลายในการเล่น ข้อเสีย: 1. การเดินทางบางครั้งอาจรู้สึกยืดเยื้อ 2. ความยากของเกมอาจไม่สมดุลในบางช่วง 3. ตัวละครบางตัวอาจไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร 4. การต่อสู้อาจซ้ำซากในบางครั้ง ประสบการณ์ส่วนตัว: ในฐานะแฟนภาพยนตร์เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ ผมรู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อได้เล่นเกมนี้ การได้เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ในมิดเดิลเอิร์ธ และได้พบกับตัวละครที่คุ้นเคยจากภาพยนตร์ เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจมาก ผมชอบระบบการต่อสู้ของเกมมาก การวางแผนการใช้สกิลและการจัดทีมให้เหมาะสมกับศัตรูแต่ละประเภทเป็นความท้าทายที่สนุก โดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ ของเกมที่ความยากเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บางครั้งผมรู้สึกว่าการเดินทางค่อนข้างยืดเยื้อ โดยเฉพาะในบางพื้นที่ที่มีการสู้รบบ่อยๆ แต่โดยรวมแล้ว ประสบการณ์การเล่นเกมนี้ถือว่าคุ้มค่ามาก สรุป: The Lord of the Rings: The Third Age เป็นเกม RPG ที่น่าประทับใจสำหรับแฟนๆ ของเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ แม้จะมีข้อบกพร่องบางประการ แต่เกมก็สามารถนำเสนอประสบการณ์การผจญภัยในมิดเดิลเอิร์ธได้อย่างน่าสนใจ ระบบการต่อสู้ที่สนุก กราฟิกที่สวยงาม และเนื้อเรื่องที่เชื่อมโยงกับภาพยนตร์ได้ดี ทำให้เกมนี้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ชื่นชอบทั้งเกม RPG และโลกแฟนตาซีของ J.R.R. Tolkien หากคุณเป็นแฟนของเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์และชอบเกมแนว RPG The Third Age เป็นเกมที่คุณไม่ควรพลาด แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เกมนี้ก็ยังคงมีเสน่ห์และความสนุกที่ทำให้น่าหยิบมาเล่นซ้ำได้อยู่เสมอ เครดิตภาพ ทางผู้เขียนได้ซื้อเกมนี้มาเล่นเองถ่ายรูปลงเอง เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
jjonline5581 • 4 ต.ค. 67
อ่าน
รีวิวแกะกล่อง The Lord of the Rings : The Return of the King มหาสงครามชิงพิภพ
จากวรรณกรรมอมตะของ J.R.R Tolkien ได้ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์โดยผู้กำกับ Peter Jackson ครั้งนี้เป็นภาคที่ 3 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นภาคจบ รับรู้ถึงบทสรุปแห่งตำนานโลก Middle Earth สงครามที่ยืดเยื้อมานานจะได้รับคำตอบ The Lord of the Rings : The Return of the King มหาสงครามชิงพิภพ ประสบความสำเร็จทั้งแง่ของรายได้และคำวิจารณ์จนคว้ารางวัลออสการ์ประจำปี 2003 สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาครอง เรื่องย่อFrodo, Sam และ Gollum เดินทางไปถึง Mount Doom ใน Mordor เพื่อนำแหวนไปทำลายด้วยลาวาในนั้น โดย Gollum ตั้งใจจะหาทางชิงแหวนคืนกลับมาเป็นของตนเหมือนสมัยเมื่อ 500 ปีที่แล้ว ขณะเดียวกัน Gandalf, Aragorn, Legolas, Gimli กำลังสู้ในสงคราม ณ Minus Tirith ซึ่งปะทะกับกองกำลังของ Sauron นักแสดงนำElijah Wood รับบทเป็น FrodoIan McKellen รับบทเป็น GandalfViggo Mortensen รับบทเป็น AragornOrlando Bloom รับบทเป็น LegolasSean Astin รับบทเป็น SamCate Blanchett รับบทเป็น GaladrielMarton Csokas รับบทเป็น CelebornJohn Rhys-Davies รับบทเป็น GimliAndy Serkis รับบทเป็น Gollum / SmeagolLiv Tyler รับบทเป็น ArwenKarl Urban รับบทเป็น Eomer แกะกล่องรีวิวภายในบรรจุ Blu-ray disc 2 แผ่น ซึ่งเป็นแผ่นหนังทั้งคู่คือครึ่งเรื่องแรกและครึ่งเรื่องหลัง และ DVD อีก 3 แผ่นเป็นเบื้องหลังการถ่ายทำ ลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายโดยบริษัท แคททาลิสท์ อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบบภาพ1080p High Definition 16*9 Widescreen ระบบเสียงEnglish 6.1 DTS HD Master AudioPolish 5.1 Dolby DigitalThai 5.1 Dolby Digital คำบรรยายใต้ภาพEnglishCantoneseComplex ChineseCzechHebrewKoreanPolishRomanianThai ความยาว 263 นาที ความชื่นชอบและประทับใจของครีเอเตอร์1.ความยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือ แม้ตัวหนังจะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว แต่ความตั้งใจของทีมงานเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าอยู่เหนือกาลเวลา แม้ CGI และ Visual Effects จะเทียบไม่ได้กับปัจจุบัน แต่ก็ถือเป็นข้อจำกัดของยุคสมัย เป็นเหตุผลที่อนุโลมให้ได้ 2.หนังใช้สเกลที่ใหญ่มาก เนื้อเรื่องหลักได้อารัมภบทมาสองภาคก่อนหน้านี้แล้ว จึงไม่ต้องอธิบายขยายความอะไรกันอีก หนังเน้นไปที่เรื่องของ Action การต่อสู้ในสงครามที่ยิ่งใหญ่และรุนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ทำให้หนังกินเวลายาวนาน แต่ก็ไม่ถือว่าน่าเบื่อนัก เรียกได้ว่าตื่นตาตื่นใจมากกว่า 3.จุดอ่อนที่ตามมาอย่างเห็นได้ชัด คงเป็นเรื่องของคนดูหนังเอง หากไม่ได้ติดตามสองภาคที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น ก็จะดูภาคที่สามแบบไม่เข้าใจอะไรเท่าไร ได้แต่เพลิดเพลินไปกับฉาก Action และสัตว์ประหลาดที่น่าเกรงขามมากกว่า 4.เคมีนักแสดงทุกคนเข้ากันได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็น Scence อารมณ์ ดราม่าเข้มข้น หรือฉากต่อสู้ที่ทุ่มสุดตัว ทุกอย่างผสานรวมกับองค์ประกอบหลังฉากที่ยิ่งใหญ่จึงทำให้ทุกอย่างออกมาลงตัว 5.แผ่น Blu-ray เวอร์ชันนี้เป็นฉบับเต็มจึงมีความยาวมากกว่าเสอร์ชันในโรงภาพยนตร์ ใครที่ไม่ชอบดูหนังที่มีความยาวมากเกินไป เพราะจะพาลทำให้เบื่อหนังได้ ก็ต้องบอกตรงนี้ก่อนเลยครับว่าความยาวเกือบ 4 ชั่วโมงแบบนี้...มันมีช่วงให้เบื่อแน่นอน 6.ระบบภาพได้รับการ Remastered ทำให้ภาพคมชัดจนเป็นที่น่าพอใจสำหรับครีเอเตอร์ เช่นเดียวกับระบบเสียงที่เหมาะกับฉาก Action Fantasy ที่ทำให้ Subwoofer ทำงานตลอดแทบทั้งเรื่อง ทั้งหมดถือว่าเป็นที่น่าพอใจครับ เครดิตภาพภาพปก โดย wirestock จาก freepik.comภาพที่ 1 2 3 4 และ 5 โดย ผู้เขียนบทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวแกะกล่อง The Lord of the Rings : The Fellowship of the Ring อภินิหารแหวนครองพิภพ ในรูปแบบ Blu-ray discรีวิวแกะกล่อง The Lord of the Rings : The Two Towers ศึกหอคอยคู่กู้พิภพ ในรูปแบบ Blu-ray discรีวิวแกะกล่อง The HOBBIT : An Unexpected Journey กับการผจญภัยสุดคาดคิด ในรูปแบบ Blu-ray 3Dรีวิวแกะกล่อง THE HOBBIT : THE DESOLATION OF SMAUG ดินแดนเปลี่ยวร้างของสม็อค ในรูปแบบ Blu-ray discรีวิวแกะกล่อง THE HOBBIT : THE BATTLE OF THE FIVE ARMIES สงครามห้าทัพ ในรูปแบบ Blu-ray discเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
Watcharapon • 31 ส.ค. 67
อ่าน
รีวิวแกะกล่อง The Lord of the Rings : The Two Towers ศึกหอคอยคู่กู้พิภพ ในรูปแบบ Blu-ray disc
สานต่อการผจญภัยจากภาคแรก เมื่อการเดินทางเพื่อทำลายแหวนเจ้าปัญหายังไม่จบสิ้น สิ่งที่ไม่คาดคิดและอันตรายจากศัตรูฝ่ายตรงข้ามก็ยังคงไม่ลดละ พยายามแย่งชิงแหวนที่ว่านั้นให้จงได้ อภิมหาสงครามและการต่อสู้จึงสานต่อยาวนานจนกว่าจะได้รู้ผลลัพธ์ ซึ่งก็ต้องสูญเสียกันไปไม่น้อย ผลงานอันเกริกเกียรติโดยผู้กำกับมือทอง Peter Jackson เช่นเคย เรื่องย่อเรื่องราวในภาคนี้แบ่งออกเป็น 3 ช่วง ตัดภาพสลับไปมา สะท้อนให้เห็นถึงความเคลื่อนไหวของตัวละคนแต่ละคนในช่วงเวลาเดียวกัน Frodo กับ Sam เดินทางไปยัง Mordor เพื่อหาทางทำลายแหวนวิเศษที่ชั่วร้าย ระหว่างได้เจอกับ Gollum อดีตเจ้าของแหวนเมื่อกว่าร้อยปีก่อน มันเจ้าเล่ห์อ้อนวอนและเสนอประโยชน์นำทางพาไป Mordor ให้ แต่แท้จริงแล้วมันหวังจะชิงแหวนคืน ทางด้าน Aragorn, Legolas, Gimli เดินทางไปยัง Rohan ซึ่งก็ได้เจอกับ Gandalf พ่อมดสีขาวที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ทั้งหมดต้องต่อสู้กับกองทัพของ Saruman ที่ Helm's Deep ทางฝั่งของ Merry กับ Pippin ก็หนีพ้นจากการถูกจับกุมแล้วไปเจอกับ Treebeard ต้นไม้มีชีวิตและพูดได้ เพื่อร่วมมือกันวางแผนโจมตี Isengard ป้อมปราการสำคัญของพ่อมดร้ายอย่าง Saruman นักแสดงนำElijah Wood รับบทเป็น FrodoIan McKellen รับบทเป็น GandalfOrlando Bloom รับบทเป็น LegolasViggo Mortensen รับบทเป็น AragornJohn Rhys-Davies รับบทเป็น GimliSean Astin รับบทเป็น SamCate Blanchett รับบทเป็น GaladrielAndy Serkis รับบทเป็น GollumChristopher Lee รับบทเป็น Saruman แกะกล่องรีวิวภายในบรรจุ Blu-ray disc 2 แผ่น ซึ่งเป็นแผ่นหนังทั้งคู่คือครึ่งเรื่องแรกและครึ่งเรื่องหลัง และ DVD อีก 3 แผ่นเป็นเบื้องหลังการถ่ายทำ ลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายโดยบริษัท แคททาลิสท์ อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบบภาพ1080p High Definition 16*9 Widescreen ระบบเสียงEnglish 6.1 DTS HD Master AudioPolish 5.1 Dolby DigitalThai 5.1 Dolby Digital คำบรรยายใต้ภาพEnglishCantoneseComplex ChineseCzechHebrewKoreanPolishRomanianThai ความยาว 225 นาที โบนัสพิเศษภายในแผ่นเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์แบบเจาะลึกลงรายละเอียดทั้งทีมนักแสดงและทีมงานหลังกล้อง พาเราไปเห็นการทำงานและความพร้อมของ production แต่ละส่วน ความชื่นชอบและประทับใจของครีเอเตอร์1.สมกับความเป็นมหากาพย์แห่งโลกภาพยนตร์ การผจญภัยของโลก Middle Earth ยังคงเข้มข้น เต็มไปด้วยประเด็นที่น่าติดตาม รวมถึงการเอาตัวรอดจากสถานการณ์เฉพาะหน้า การเจรจาขอความร่วมมือ การต่อสู้อย่างสุดกำลังดุจหลังชนฝา สิ่งเหล่านี้ทำให้การดำเนินเรื่องมีทิศทางที่จริงจังตลอดทาง 2.สิ่งหนึ่งที่ทุกคนยังรู้สึกได้คือความยืดเยื้อของการดำเนินเรื่อง แน่นอนว่าหนังปกติควรมีความยาวที่ประมาณ 2 ชั่วโมง ผู้ชมถึงจะมีสมาธิอยู่กับเนื้อเรื่อง หากมีความยาวมากกว่านั้นอาจทำให้ผู้ชมหลุดโฟกัสบางประเด็นและอาจทำให้ไม่อินกับเนื้อเรื่องได้ยิ่งตัวแผ่นเป็น Blu-ray เวอร์ชันเต็มไม่มีตัดทอนเหมือนอย่างในโรงภาพยนตร์ ก็ยิ่งทำให้หนังยาวถึง 4 ชั่วโมง แต่ก็แลกมาด้วยความคุ้มค่าที่ได้เห็นความเป็นไปละเอียดยิ่งขึ้น 3.ใครที่ไม่ได้ติดตามมาตั้งแต่ภาคแรก มั่นใจว่าคงมีคำถามและความสับสนถึงที่มาของเหตุการณ์ ดังนั้น จะต้องรู้ที่มาจากภาคแรกก่อนถึงจะดูภาคนี้สนุก นอกจากนั้นในภาคที่สองนี้ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าหนังยังไม่จบ จะต้องมีภาคต่อในภาคที่สามซึ่งถือว่าหนังจบลงอย่างบริบูรณ์ หากใครเบื่อหน่ายเสียก่อนก็อาจถอดใจไม่อยากดูเลยก็เป็นได้ 4.การแสดงของทุกคนยังคงน่าประทับใจ เคมีแต่ละคนเข้ากันได้ดีมาก มันมีความเหมาะสมกับบทบาทที่รู้สึกว่าลงตัว ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆทั้งสิ้น 5.ระบบภาพและเสียงอยู่ในเกณฑ์ดีมาก ตัวแผ่น Bu-ray disc ช่วยให้ภาพคมชัดขึ้นกว่าสมัยที่รับชมจากในโรงภาพยนตร์ ระบบเสียงก็ช่วยให้มีพลังของ Subwoover ทำงานได้ดีขึ้น เสียงเบสหนักเป็นระยะตลอดเรื่อง 6.ในภาคนี้จะมีความรู้สึกเหมือนกับว่าสานต่อสิ่งที่ค้างจากภาคแรกยังไม่จบ จะไปต่อก็ต้องรอภาคสาม มันจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่ายังไม่เต็มอิ่ม ยังขาดการเติมเต็ม ไม่เหมือนมหากาพย์อย่าง Harry Potter หรือ DUNE ที่ตัวหนังมีความบริบูรณ์ลงตัวในแต่ละภาคของมันอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนวนิยายที่เขียนแบ่งจบในเล่มชัดเจน แม้ตัวร้ายของเรื่องยังไม่หมดสิ้น แต่ปมปัญหาแต่ละภาคก็ได้รับการคลี่คลายไปบ้างแล้วนั่นเอง ใครมีความคิดเห็นเหมือนหรือต่างกันอย่างไร เข้ามา Comment กันได้เลยครับ เครดิตภาพภาพปก โดย tawatchai07 จาก freepik.comภาพที่ 1 2 3 4 และ 5 โดยผู้เขียน บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวแกะกล่อง The Lord of the Rings : The Fellowship of the Ring อภินิหารแหวนครองพิภพ ในรูปแบบ Blu-ray discรีวิวแกะกล่อง The HOBBIT : An Unexpected Journey กับการผจญภัยสุดคาดคิด ในรูปแบบ Blu-ray 3Dรีวิวแกะกล่อง THE HOBBIT : THE DESOLATION OF SMAUG ดินแดนเปลี่ยวร้างของสม็อค ในรูปแบบ Blu-ray discรีวิวแกะกล่อง THE HOBBIT : THE BATTLE OF THE FIVE ARMIES สงครามห้าทัพ ในรูปแบบ Blu-ray discรีวิวแกะกล่อง THE GREAT WALL ในรูปแบบ Blu-ray 3Dเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
Watcharapon • 24 ส.ค. 67
อ่าน
รีวิวแกะกล่อง The Lord of the Rings : The Fellowship of the Ring อภินิหารแหวนครองพิภพ ในรูปแบบ Blu-ray disc
อภิมหาภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ ปฐมบทการผจญภัยแห่ง Middle Earth จากผลงานรังสรรค์จากปลายปากกาของ J.R.R. Tolkien ว่าด้วยเรื่องราวแห่งแหวนครองพิภพที่ไม่ว่าใครได้ครอบครองก็จะเกิดกิเลสหลงใหลจนยากที่จะตัดใจ จากเจ้าของเก่าอย่างกอลลัมมาสู่เจ้าของใหม่อย่าง Bilbo Baggins ที่เกิดขึ้นใน The HOBBIT สู่เรื่องราวแห่ง The Lord of the Rings โดยผลงานการกำกับของ Peter Jackson เรื่องย่อGandalf พบแหวนของ Bilbo Baggins ซึ่งเป็นแหวนมรณะของจอมมารที่ไม่ว่าใครครอบครองต่างก็อยากถวิลหาไม่อยากพรากจาก โชคดีที่ Gandalf โน้มน้าวให้ Bilbo ตัดใจจากกิเลสแห่งแหวนได้ จึงมอบหมายให้ผู้เป็นหลานอย่าง Frodo นำแหวนไปเจอกับ Gandalf ที่ Rivendell Hobbit อย่าง Frodo เดินทางจาก Shire มาถึงก็พบว่ามีสมาชิกที่จะร่วมเดินทางด้วยอีก 8 คน เพื่อทำลายแหวนให้สำเร็จ และปกป้อง Middle Earth ให้พ้นจากจอมมาร Sauron ปลายทางที่ว่าคือ Mount Doom (Orodruin) ภูเขาไฟกลางแผ่นดิน Mordor แหวนถึงจะสามารถถูกทำลายได้ แต่การเดินทางก็ไม่ง่ายเลย เพราะระหว่างต้องเผชิญกับพวกกองทัพออร์ก ยักษ์โทรลล์ในถ้ำ และ Balrog อสูรไฟในเงามืด นักแสดงนำElijah Wood รับบทเป็น FrodoIan McKellen รับบทเป็น GandalfOrlando Bloom รับบทเป็น LegolasViggo Mortensen รับบทเป็น AragornJohn Rhys-Davies รับบทเป็น GimliSean Astin รับบทเป็น SamCate Blanchett รับบทเป็น GaladrielAndy Serkis รับบทเป็น GollumChristopher Lee รับบทเป็น SarumanSean Bean รับบทเป็น BoromirMarton Csokas รับบทเป็น Celeborn แกะกล่องรีวิวภายในบรรจุ Blu-ray disc 2 แผ่น ซึ่งเป็นแผ่นหนังทั้งคู่คือครึ่งเรื่องแรกและครึ่งเรื่องหลัง และ DVD อีก 3 แผ่นเป็นเบื้องหลังการถ่ายทำ ลิขสิทธิ์จัดจำหน่ายโดยบริษัท แคททาลิสท์ อัลลายแอนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบบภาพ1080p High Definition 16*9 Widescreen ระบบเสียงEnglish 6.1 DTS HD Master AudioPolish 5.1 Dolby DigitalThai 5.1 Dolby Digital คำบรรยายใต้ภาพEnglishCantoneseComplex ChineseCzechHebrewKoreanPolishRomanianThai ความยาว 228 นาที โบนัสพิเศษภายในแผ่นเบื้องหลังการถ่ายทำแบบเจาะลึก Part 1 : From book to vision จากหนังสือสู่วิสัยทัศน์ บอกเล่าถึงขั้นตอนการทำงาน วางแผน ออกแบบฉากในโลกของ Middle Earth โดยบริษัท Weta นอกจากนี้ยังพูดถึงการแต่งกาย อาวุธ ชุดเกราะ และอสุรกาย ซึ่งเป็น Storyboards ก่อนใช้ Visualization เพิ่มลงไปในฉาก Part 2 : From vision to reality จากวิสัยทัศน์สู่ความเป็นจริง พูดถึงทีมนักแสดงระหว่างถ่ายทำ ลักษณะจำลองความเป็นอยู่ของตัวละคร ดนตรีประกอบภาพยนตร์ การตัดต่อภาพและเสียง รวมถึงเบื้องหลังของกองถ่ายแบบ Gallery Part 3 : Raw Footage โดยทีมผู้สร้างเปิดเผยแบบ Inside Story เจาะลึกถึงหนังทะลวงถึงแก่น ความชื่นชอบและประทับใจของครีเอเตอร์1.หนังดำเนินเรื่องยิ่งใหญ่ระดับมหากาพย์ แต่ด้วยความยาวของหนังที่มากเกินไปก็กลายเป็นความรู้สึกทั้งรักและเกลียด คือยังชื่นชอบในรายละเอียดของหนัง แต่ยืดเยื้อเข้าเรื่องนานเกินไปจนทำให้บางครั้งก็รู้สึกเสียดายเวลา ช่วงแรกของเรื่องก็ยืดเยื้อยาวนานเกินความจำเป็น 2.ฉาก Action อาจจะไม่ได้โดดเด่นมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะเสน่ห์จากทีมนักแสดงแต่ละคนที่ดูองอาจ ทำให้ความชื่นชอบมาอยู่ที่นักแสดงมากกว่าการต่อสู้ระหว่างทาง 3.Visual Effects อาจจะดูในยุคนี้แล้วรู้สึกขัดหูขัดตาไปบ้าง แต่สมัยนั้นถือว่ารังสรรค์ออกมาเต็มที่แล้ว โดยเฉพาะฉาก Balrog อสูรไฟในเงามืดที่ดูอลังการและแปลกใหม่ ทุกอย่างถูกออกแบบมาได้อย่างลงตัว ทำให้คนดูชวนจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่จะตามมาในอนาคตของเรื่องว่าจะยิ่งใหญ่ได้อีกแค่ไหน 4.การผจญภัยชวนลุ้นเกินคาดเดา เมื่อตัวละครเอกตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เมื่อตรงข้ามมีจำนวนที่มากกว่า แต่รอดมาได้ด้วยจังหวะเอื้ออำนวยแบบไม่ซ้ำกันเลย ถือเป็นสีสันของหนังที่ถ่ายทอดออกมาได้ดี 5.นักแสดงแต่ละคนก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำกันเลย ไม่ว่าจะเป็น Elijah Wood รับบทเป็น Frodo ภาพจำของการเป็น Hobbit ใจซื่อ Ian Mckellen รับบทเป็น Gandalf สีเทา ที่มีภาพจำของพ่อมดที่สุขุมและมักชอบแยกออกจากกลุ่มระหว่างทางโดยควบม้าจากไป Orlando Bloom ที่รับบทเป็น Legolas ก็เป็น Elf ที่มือไวทั้งยิงธนูและตวัดดาบ ที่ขาดไม่ได้เลยคือ Viggo Mortensen รับบทเป็น Aragorn มือดาบนิรนามฝีมือฉกาจที่ดูลึกลับ ทุกคนมีภาพจำที่น่าทึ่ง 6.ระบบภาพและระบบเสียงเข้าขั้นสมบูรณ์แบบ แม้หนังจะผ่านมาหลายสิบปี แต่ด้วยการ Remastered อีกครั้งให้เข้ากับอรรถรสในแบบของ Blu-ray disc ถือว่า Perfect เช่นเดียวกับระบบเสียง DTS HD Master audio ที่มีการกระจายเสียงและมีความทุ้มลึกได้เป็นอย่างดี ทำให้หลายฉากของหนังน่าติดตามมากขึ้น 7.จุดอ่อนของหนังอีกเรื่องหนึ่งคือหนังไม่จบบริบูรณ์ โดยหนังจะโปรโมตให้คนดูหนังในยุคนั้นทราบว่าหนังจะจบในภาคที่ 3 การที่หนังไม่จบในตัวของมันเอง ทำให้เราคาใจเป็นอย่างยิ่งว่าเรื่องมันจะดำเนินไปถึงไหน ความคาใจนี่เองที่ทำให้ครีเอเตอร์ต้องไปหาภาค 2 มาดูต่อให้รู้เรื่อง ถือเป็นการตลาดที่แยบยลยิ่งที่เราในฐานะคนดูต้องติดตามให้ครบทั้ง 3 ภาค ทั้งหมดนี้คือความประทับใจของครีเอเตอร์ในฐานะคอหนังคนหนึ่งที่รักการดูหนังแบบ Home Entertainment ซึ่งเป็นหนังในความทรงจำของใครหลายคนที่กาลเวลาจะผ่านไปกี่ปี ก็มีคนจำได้และชวนนึกถึง ตัวหนังถูกจัดจำหน่ายแผ่นมาหลายรูปแบบ หลายเวอร์ชันจนมาถึงเวอร์ชันเต็มในมือครีเอเตอร์ ไม่แปลกใจที่บทของหนังยังถูกดัดแปลงทำเป็น Series ต่อให้เห็นจนถึงปัจจุบัน นี่เป็นเพียงปฐมบทแห่งสงครามช่วงชิงแหวน ยังมีภาคอื่นให้ติดตามต่อ โอกาสหน้าครีเอเตอร์จะมารีวิวภาคที่สองให้อ่านกันต่อไปนะครับ เครดิตภาพภาพปก โดย freepik จาก freepik.comภาพที่ 1 2 3 4 และ 5 โดยผู้เขียน บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวแกะกล่อง The HOBBIT : An Unexpected Journey กับการผจญภัยสุดคาดคิด ในรูปแบบ Blu-ray 3Dรีวิวแกะกล่อง THE HOBBIT : THE DESOLATION OF SMAUG ดินแดนเปลี่ยวร้างของสม็อค ในรูปแบบ Blu-ray discรีวิวแกะกล่อง THE HOBBIT : THE BATTLE OF THE FIVE ARMIES สงครามห้าทัพ ในรูปแบบ Blu-ray discรีวิวแกะกล่อง Dawn of the Planet of the Apes รุ่งอรุณแห่งพิภพวานร ในรูปแบบ Blu-ray discรีวิวแกะกล่อง WRATH OF THE TITANS สงครามมหาเทพพิโรธ ในรูปแบบ Blu-ray disc จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !
Watcharapon • 15 ส.ค. 67
อ่าน
ซีรีส์ The Lord of the Rings: The Rings of Power
วันนี้เป็ดอาบน้ำในคลองจะมารีวิว ซีรีส์ The Lord of the Rings: The Rings of Power เป็นภาคต่อจาก The Hobbit เป็นมหากาฬ เป็นซีรีส์ตำนานเลยก็ว่าได้ และถ่ายทอดออกมาได้สวย สมจริง เป็นแนวแฟนตาซี ที่ใครๆต่างก็หลงใหล ในภาพ ฉาก รวมไปถึงเวทมนตร์ และเผ่าพันธุ์ต่างๆ ที่อยู่ในเนื้อเรื่อง รวมถึงดินแดนต่างๆ ที่น่าสนใจชื่อเรื่อง : The Lord of the Rings: The Rings of Power (2022)จำนวนตอน : 8 ตอนออกอากาศ : Prime Video The Lord of the Rings: The Rings of Power (2022) เป็น season 1 แต่ทางผู้สร้างวางแผนจะมีทั้งหมด 5 season เพราะวางโครงเรื่องไว้เรียบร้อยแล้ว ดูศึกมหาภิภพชิงแหวนกันแบบยาวๆเลย ไหวกันไหม? (เป็ดอาบน้ำไหวน่ะ) เดียวมาปูเรื่องก่อน ว่า The Ringe of Power เป็นเรื่องราวที่เกิดก่อน The Lord of the Rings ที่มี 3 ภาค ได้แก่2001 The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring. 2002 The Lord of the Rings: The Two Towers.2003 The Lord of the Rings: The Return of the KingThe Lord of the Rings ทั้ง 3 ภาค นี้ เล่าเรื่องราวการนำแหวนไปทำลายของ ฮอบบิท ต้องผจญภัย ต่อมาจะเป็นเรื่องราวของ The Hobbit ทั้ง 3 ภาค ที่เล่าเรื่องราว ของฮอบบิทผู้ที่ก่อนจะนำแหวนไปทำลาย ที่มาที่ไปของแหวนมี 3 ภาคThe Hobbit 1 : An Unexpected Journey The Hobbit 2 : The Desolation of SmaugThe Hobbit 3 : The Battle of the Five Armies เรื่องย่อ The Lord of the Rings: The Rings of Power (2022) เรื่องราวเกี่ยวกับตำนานยุคที่ 2 ของประวัติศาสตร์มิดเดิลเอิร์ธ โดยจะพาย้อนกลับไปสู่ยุคที่พลังสุดๆ อาณาจักรต่างๆรุ่งเรือง และมีความสุขสงบ และล่มสลาย เพราะ “ปีศาจไม่เคยหลับใหล หากเพียงแต่รอคอยเวลา” The Ring of Power นำเอาเนื้อหาใน 5 นาทีแรกของ The Followship of the Rings (The Lord ภาคแรก) กล่าวถึงแหวน 20 วง ที่ครอบครองโดยเผ่าพันธุ์ต่างๆ ต่อไปนี้ 3 วงครอบครองโดยเอลฟ์ 7 วงครอบครองโดยคนแคระ9 วงครอบครองโดยมนุษย์1 วงที่มีอำนาจเหนือแหวนทั้งหมด (One Ring to Rule Them All) มาขยายเป็น 5 ซีซั่น เผ่าพันธุ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ ก่อนที่อาณาจักรจะล่มสลายเป็นตัวละครหลัก หลังจากที่จอมมารเซารอนหลังจากพ่ายแพ้ หาที่หลบซ่อนกลาย พรางร่าง และจอมมารเซารอนอยู่มาถึงยุคที่สองแบบหลบๆซ่อนๆ จนในที่สุด จอมมารผู้ชั่วร้ายเซารอน ได้แปลงกายเป็น Annatar ได้เข้ามาสอนเผ่าเอลฟ์ให้หลงเชื่อ และได้หลอกหลวงเอลฟ์เซเลบริมบอร์ นายช่างแห่งเอลฟ์ผู้มีพรสวรรค์ และมีความสามารถ ให้สร้างแหวนขึ้นมา 19 วง ขึ้นมา และเซารอนได้แอบสร้างแหวน อีก 1 วงขึ้นมา ที่มีอำนาจสูงสุดไว้ควบคุมแหวนทุกวง และจอมมารผู้ชั่วร้ายสร้างกองทัพออร์ค กับโทรลเพื่อมาต่อกรกับมนุษย์ และเอลฟ์ แต่ในภาคนี้ไม่ได้นำเสนอต้นกำเนิดของจอมมารเซารอน แต่เป็นการนำเสนอต้นกำเนิดของแหวนแทน แตาไม่แน่ใจ ว่าซีซั่นต่อไปจะเล่าถึงต้นกำเนิดของ จอมมารเซารอน หรือเปล่า ต้องมาคอยลุ้นกัน นักแสดง The Lord of the Rings: The Rings of Power (2022)1. พี่มอร์ฟิดด์ คลาร์ก รับบทเป็น “กาลาเดรียล” กาลาเดรียล นักรบผู้นำเอลฟ์ในตำนานหลังจากผ่านสงครามความโหดร้ายยุคแรก เธอชอบคิดว่าความชั่วร้ายยังไม่จบสิ้นและจะหวนคืน และในที่สุดความชั่วร้ายก็หวนคืนจริงๆ 2.นาซานิน บอเนียดี รับบทเป็น “บรอนวิน” คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวสุดแกร่ง ที่ปกป้องคนในครอบครัวอย่างสุดพลัง และยังเป็นผู้รักษาโรค3.โรเบิร์ต เอรามาโย รับบทเป็น “เอลรอนด์” เอลรอนด์ เอลฟ์หนุ่มที่มีความรอบรู้เรื่องการเมือง และมีความมุงมานะ เป็นเอลฟ์หนุ่มที่เกิดมาในตระกูลที่มีอำนาจ4. เบนจามิน วอล์เกอร์ รับบทเป็น “กษัตริย์กิลกาลัด” กษัตริย์กิลกาลัด ผู้เป็นตำนานแห่งเอลฟ์ รักษาความสงบ และความสันติสุข และสิ่งที่เขาต้องการรักษาต้องมาถึงยุคที่ต้องพังทลาย 5. ชาร์ลส์ เอ็ดเวิร์ดส์ รับบทเป็น “เซเลบริมบอร์” เซเลบริมบอร์ นายช่างแห่งเอลฟ์ผู้มีพรสวรรค์ เซเลบริมบอร์ และความความสามารถนี้ จึงได้รับเลือกให้เป็นผู้สร้างแหวน ที่มีปัญหาตามมา 6. อิชมาเอล ครูซ-คอร์โดวา รับบทเป็น “อารอนเดียร์ ” นายทหารเอลฟ์แห่งซิลแวน เป็นทหารที่ประจำการใน Southlands คอยดูแลเหล่ามนุษย์ที่อาศัยอยู่กับจอมมารเซารอนผู้ชั่วร้าย7. ทริสตัน กราเวลล์ รับบทเป็น “ฟาราโซน” ที่ปรึกษาราชินีผู้สำเร็จราชการแห่งนูเมนอร์ ที่มีความลึกลับมีเล่ห์กลมากมาย8. ลอยด์ โอเว่น รับบทเป็น “เอเลนดิล” กัปตันเรือชาวนูเมโนเรี่ยน ก่อนที่เรือจะอัปปางลง มีความเก่ง และทะยอทะยาน ฉาก เสื้อผ้า บรรยาย ในเรื่อง ฉากอลังการโทนสีตื่นเต้น ลึกลับ ให้ความซับซ้อน น่าค้นหา เหมือนดินแดนที่มีเวทมนตร์ซ่อนเร้นอยู่ ภาพวิว ภูเขา ทำได้ตะโกนมากๆ บ้านเมือง รวมไปถึงฉากมุมสูงจากภูเขา ที่แสดงทิวทัศน์ได้อย่างสุดลูกหูลูกตา เสื้อผ้า หน้าผม มีความโบราณแต่แอบทันสมัย ทรงผมที่แสนธรรมดา เหมือนไม่ได้จัดทำ เข้ากันดีกับชุดในยุคโบราณ รวมถึงการแต่งหน้าของนักแสดง ที่มีความเหมือนสุดๆ มีกะ มีโคนตมติดหน้า การแต่งตัวแบ่งแยกชนชั้น แบ่งแยกเผ่าพันธุ์ในเรื่องได้อย่างชัดเจน เพราะในเรื่องมีหลายเผ่าพันธุ์มากๆ แต่การแต่งกายของนักแสดง แยกออกอย่างชัดเจน แต่ที่ผิดหวังมากสุดสุดสำหรับเป็ดอาบน้ำในคลอง คือ เผ่าเอลฟ์มีคนผิวสี คือ เหมือนดูเรื่องใดๆ เอลฟ์ผิวขาว แต่ทำไมเรื่องนี้เอลฟ์ผิวสี เป็ดอาบน้ำๆไม่ได้มีปัญหากับคนผิวสี แต่เพียงไม่คุ้นเฉยๆ แต่แปลก แตกต่างดี สำหรับซีรีส์ The Rings of Power จะมีมากถึง 5 season ติดตามกันยาวๆ หรือหากอยากติดตาม ให้ไปเริ่มดูตามที่เป็ดอาบน้ำในคลองเรียบเรียงให้ เป็นตำนานแหวนครองภิภพที่แสนยาว และเป็นตำนานของใครหลายๆคน2001 The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring. 2002 The Lord of the Rings: The Two Towers.2003 The Lord of the Rings: The Return of the KingThe Hobbit 1 : An Unexpected Journey The Hobbit 2 : The Desolation of SmaugThe Hobbit 3 : The Battle of the Five Armies เครดิต: X:@LOTRonPrimeเครดิตภาพปก : ภาพปก เครดิตภาพประกอบ : ภาพที่ 1 /ภาพที่ 2 รูปที่ 2 / ภาพที่ 3,4,5 /ภาพที่ 6 / ภาพที่ 7 รูปที่ 1 /ภาพที่ 8 / ภาพที่ 9 / ภาพที่ 10 / ภาพที่ 11,12,13 / ภาพที่ 14 รูปที่ 2 / ภาพที่ 15,16 / เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !
เป็ดอาบน้ำในคลอง • 8 มี.ค. 67
อ่าน
5 เหตุผลควรดู The Lord of the Rings: The Rings of Power ซีรีส์ชั้นดีบน Prime Video
เชื่อว่าคนยุค 80 หรือ 90 จะต้องมีคนที่คุ้นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์อย่าง The Lord of the Rings ที่เป็นหนังไตรภาค ซึ่งอิงมาจากนวนิยายชื่อดัง The Lord of the Rings ซึ่งเราในวัยนั้นถึงแม้จะเป็นช่วงวัยเด็กอายุสิบกว่าๆ แต่ก็ทันดูเช่นกัน และก็ยังดูมาจนถึงวันนี้นะ เพราะปัจจุบันได้มีให้ชมแบบถูกลิขสิทธิ์แล้วบน Prime Video และแน่นอนว่าเมื่อเป็นแฟนตัวยงของภาพยนตร์เรื่องนี้ขนาดนี้ก็ต้องไม่พลาดเรื่อง The Lord of the Rings: The Rings of Power ซึ่งจะเป็นเนื้อหาก่อนหน้าที่เซารอนจอมโฉดจะเผยโฉมความชั่วร้ายออกมา ดำเนินเรื่องด้วยเหล่าตัวละครดั้งเดิม แต่นำแสดงโดยผ่านนักแสดงคนใหม่ที่เล่นออกมาได้ดีและยังคงความเป็นตัวละครนั้นๆ ไว้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นที่มิดเดิ้ลเอิร์ธ ความชั่วร้ายที่อยู่ลึกที่สุดค่อยๆ คืบคลานออกมาจากทือกเขามิสตี้สู่ผืนป่าอันงามสง่าแห่งลินดอน โดยซีรีส์ชุดนี้จะเล่าในมุมมองของตัวเอกขอฃเรื่องคือ ท่านหญิงกาลาเดรียล ซึ่งเป็นคนที่ค่อนข้างทรงพลังและดูลึกลับมากทั้งในหนัง The Lord of the Rings และ the hobbit แต่ท่านหญิงกาลาเดรียล ในซีรีส์ชุดนี้จะเหมือนจุดเริ่มต้นของท่านหญิง จะบอกว่าเป็นท่าหญิงในวัยเยาว์ก็ไม่น่าใช่เพราะท่านหญิงในซีรีส์ชุดนี้ก็ต่อสู้ไล่ล่าความมืดมาร้อยกว่าปี ส่วนในหนังน่าจะอายุพันปี ซึ่งกาลาเดรียลนั้นเป็นผู้ที่หมายมั่นจะไล่ล่าออร์คทุกตัวเพื่อช่วยทุกๆ อาณาจักร์ทั้งมิดเดิ้ลเอิร์ธ อาณาจักรนูเมนอร์ ดินแดนใต้จรดเหนือ โดยรวมเป็นซีรีส์ที่สนุกเข้มข้นมากจนอยากให้ได้ลองรับชมกัน และในบทความนี้เราจะมาบอกว่าทำไมคุณถึงไม่ควรพลาดชมซีรีส์เรื่องนี้กันค่ะ 1. เนื้อเรื่องเดียวกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์สุดฮิตเก่าอย่าง The Lord of the Ringsอย่างที่บอกไปว่ามันเป็นเนื้อเรื่องเดียวกับภาพยนตร์ชุดดั้งเดิมที่เป็นตำนานอย่าง The Lord of the Rings ดังนั้นคนกลุ่มแรกที่ไม่ควรพลาดชมเลยก็คือแฟนๆ หนัง The Lord of the Rings เราจะได้เห็นตัวละครที่เราชอบกลับมามีบทบาทอีกครั้งแม้จะไม่ใช่นักแสดงคนเดิมแต่พวกเขาก็ถ่ายทอดออกมาได้เหมือนตัวละครดั้งเดิม และเราจะได้เห็นที่มาที่ไปในหลายๆ ด้าน เซารอนมาจากไหน ออร์คกำเนิดขึ้นมาอย่างไร และเหล่าผู้ทรงพลังในภาพยนตร์ชุดแรกเริ่มต้นมาได้อย่างไร ในภาพยนตร์เราอาจจะเห็นว่ามาถึงเขาก็เก่งกันเลย แต่จริงๆ แล้วกว่าพวกเขาจะยิ่งใหญ่ขนาดนั้นได้ก็ผ่านเรื่องราวมากมาย เราจะได้เห็นจุดเริ่มต้นทั้งหมดของจักรวาล The Lord of the Rings 2. โปรดีกซ์ชันดี ภาพสวย คอสตูมนักแสดงเลิศมากแม้จะไม่ใช่ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ แต่ซีรีส์ชุดนี้ก็ทุ่มเททุ่มทุนสร้างมากเช่นกัน งานภาพดีมาก มุมมองภาพการนำเสนอเรื่องออกมากจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องการจัดแสงดูอลังการและดูสมกับเป็นสถานที่ที่ยิ่งใหญ่ สมความสง่างามของชาวเอลฟ์มาก ฉากการหลอมแหวน รวมไปถึงการตีเหล็กสร้างอาวุธต่างๆ ก็ดีงาม เรื่อง CG เขาก็เนียบกริบกันมากเลย3. นักแสดงดี แคสมาได้เข้าถึงบทบาทกันทุกคน ทุกตัวละครถ่ายทอดความรู้สึกออกมาดีหมดเลย คนที่ร้ายที่สุดในคราบคนดีก็เล่นดีมากจนตัวเราเองก็ไม่ได้คิดว่าเขาคนนี้จะร้ายที่สุด คนที่ปรากฎตัวด้วยความลึกลับงงงวยว่าสรุปร้ายหรือดีก็เล่นได้ชวนให้เรามีคำถามว่าสรุปว่าตัวละครตัวนี้มันยังไงกันแน่นะ แต่ที่ชอบที่สุดคือตัวละครหลักที่เคยถูกถ่ายทอดความสง่างามและน่าเกรงขามมาแล้วอย่าง "ท่านหญิงกาลาเดรียล" ซึ่งผู้รับบทคือ มอร์ฟิดด์ คลาร์ก ( Morfydd Clark ) และผู้ที่เคยนำแสดงบทนี้ไปแล้วนั้นคือ "เคต แบลนเชตต์" ( Cate Blanchett ) ที่แม้จะต่างนักแสดงแต่การถ่ายทอดก็ทำออกมาดีมาก ทั้งที่นักแสดงคนละคนกันแต่พวกเขาก็สามารถถ่ายทอดออกมาได้เหมือนตัวละครดั้งเดิม เดิมทีถ้าอิงตามหนังสือกาลาเดรียลนั้นจะเป็นเอล์ฟที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่งเลย ซึ่งภายหลังนางจะเก่งออกไปทางเวทมนตร์คาถา ภาพรวมเธอก็เป็นเอลฟ์มีมาพร้อมแสงสว่างแต่เพราะในใจของเธอมีความแค้น มีการสูญเสียดังนั้นเธอจึงเหมือนเป็นคนที่มีความดำมืดเล็กๆ ในจิตใจ กาลาเดรียลที่เราเห็นก็เลยมีความน่าเกรงขามพร้อมความลึกลับด้วย และทั้งสองนักแสดงที่รับบทกาลาเดรียลนั้นก็เล่นออกมาดีทั้งสองคนเลย อีกหนึ่งคนที่เล่นได้ดีก็คือ " โรเบิร์ต อรามาโย" ( Robert Aramayo ) รับบท "ท่านเอลรอนด์" ก็ถ่ายทอดออกมาได้ดูสง่าและยิ่งใหญ่ สุภาพ ฉลาดรอบรู้มีวาทะศิลป์ดีคงภาพลักษณ์ท่านเอลรอนด์ แห่งริเวนเดลล์ ได้แบบเป๊ะๆ เลย 4. ฝึกภาษาอังกฤษ มีคำศัพท์ที่ใช้ได้ในชีวิตจริงอยู่เยอะฝึกภาษาได้ดีมากๆ ส่วนตัวรู้สึกว่าศัพท์ในเรื่องเป็นศัพท์ที่ใช้ได้ทั่วไป ใช้ได้จริง อีกส่วนที่จะได้จากซีรีส์เรื่องนี้คือการออกเสียงให้ตรง ฟังง่าย พูดตามได้ นำไปใช้ในชีวิตจริงได้จริง ดังนั้นหากใครมีสกิลภาษาอยู่บ้างแล้วแล้วอยากทบทวน อ่านได้แต่ออกเสียงไม่เป๊ะอยากฝึกออกเสียง ก็ลองไปรับชมและพูดตามนักแสดงในเรื่องดูค่ะ ส่วนตัวสนทนาได้แค่เอาตัวรอดเวลาไปเที่ยวต่างประเทศ บางคำก็ออกเสียงไม่ชัด ก็เลยรู้สึกว่าเวลาดูเรื่องนี้มันเหมือนได้ทวนคำที่เรามีปัญหาในการออกเสียงไปในตัว ได้ทั้งความบันเทิงได้ทั้งการเรียนรู้เลย5. นำเสนอเรื่องดี แต่ละตอนยาวแต่เดินเรื่องไม่อืด แต่ละตอนค่อนข้างมีเนื้อหาที่ยาวอยู่พอตัวเลย ตอนดูคือเก็บรวดเดียวก็ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนแต่สุดท้ายก็ดูไม่จบหลับไปตอนราวๆ ตีสามได้มาดูตอนจบเอาตอนเช้า แต่ถึงแม้จะบอกว่าเรื่องรายตอนจะยาวแต่ดำเนินเรื่องไม่อืดเลย เรื่องไหลไปตามเส้นเรื่องได้กระชับ ได้ใจความ สนุกและมีเรื่องเซอร์ไพรส์ให้ทึ่งได้ตลอดตอน เรียกว่าเป็นซีรีส์คุณภาพดี เนื้อหาสนุก นักแสดงก็ดีทั้งคุณภาพการแสดงและหน้าตากันเลย เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดชมจริงๆ ค่ะ หากใครยังไม่ได้รับชมสามารถไปรับชมกันได้ที่ Prime Video และ ซื้อแพ็กเกจผ่าน TrueID คลิกเลย สุดท้ายนี้หากใครที่รู้สึกชอบบทความนี้ก็อย่าลืมแชร์บทความนี้ออกไปเยอะ ๆ น้าาา และถ้าอยากจะติดตามเรื่องราวอื่น ๆ ของเรา ก็สามารถติดตามได้ที่ twitter Artinime ได้เลยค่ะhttps://twitter.com/supamas_kpr/status/1646159316653686787?s=20ขอบคุณภาพจาก The Lord of the Rings on Prime ภาพประกอบ- ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 (1,2) / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 ( 1,2,3,4,5,6,7,8 ) / ภาพที่ 5 / ภาพที่ 6ขอบคุณวิดีโอประกอบ จาก Prime Video - Official Trailer จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !
หญิงเถื่อน • 26 เม.ย. 66
อ่าน
ซีรีส์ The Lord of the Rings: The Rings of Power เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์: แหวนแห่งอำนาจ
เรื่องย่อซีรีส์ The Lord of the Rings: The Rings of Power ชื่อเรื่อง: The Lord of the Rings: The Rings of Power เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์: แหวนแห่งอำนาจ ประเภท: แอคชั่น / ผจญภัย / แฟนตาซี สร้างโดย: แพทริค แม็คคาย, จอห์น ดี. เพย์น จำนวน: ซีซั่น 1 - 8 ตอน ออกอากาศ: ซีซั่น 1 - 1 กันยายน ถึง 14 ตุลาคม 2022 ช่องทางรับชมอย่างถูกลิขสิทธิ์ในประเทศไทย: Prime Video
เรื่องย่อละคร • 1 เม.ย. 66
อ่าน
The Lord of the Rings: The Rings of Power เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ : แหวนแห่งอำนาจ ซีรีส์ที่เปรียบเสมือนโลกคู่ขนานของ Lore ปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน
นับเป็นการดูซีรีส์ของผู้เขียนที่ต้องบอกว่าไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรเลยสำหรับซีรีส์เรื่อง The Lord of the Rings: The Rings of Power เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ : แหวนแห่งอำนาจ ที่ออกฉายเมื่อปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ากว่าจะได้ดูก็ปากันไปหลายเดือนอยู่ หลังจากที่ดูตัวอย่างและผู้เขียนก็วิเคราะห์อยู่น่าพอสมควร จึงได้รู้ว่าทางค่ายผู้ผลิตไม่ได้ซื้อลิขสิทธิ์ของ อาจารย์ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน และเป็นอะไรที่ได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงหนักที่สุดของคำว่าซีรีส์เลยก็ว่าได้ ซีรีส์ซีซันที่หนึ่งนี้มีทั้งหมด 8 Episode และ Episode ละชั่วโมงกว่าๆ นับว่าเป็นซีรีส์ที่ท้าทายมากๆของ Amazon Prime Video ทีมสร้างได้ตัว Patrick McKay / John D. Payne สองมือเขียนบทที่ก็ไม่ได้มีผลงานอะไรโดดเด่นเท่าไหร่ แต่แล้วซีรีส์ก็ได้ผู้กำกับมือดีอย่าง J.A Bayona ที่เคยฝากผลงานมาแล้วอย่างซีรีส์ A Monster Calls และ Jurassic World: Fallen Kingdom ที่ฝากสองตอนแรกสู่สายตาของผู้ชม และซีรีส์ยังได้ตัว Wayne Che Yip ที่เคยฝากผลงานกันมาแล้วเหมือนกันอย่าง Doctor Who และผู้กำกับหญิงมากความสามารถที่กำกับซีรีส์ที่ผู้เขียนชอบมากๆอีกเรื่องคือ The Witcher นั้นก็คือ Charlotte Brandstrom ซีรีส์ในเวอร์ชั่นนี้จะนำพาเราเหล่าคนดูไปสัมผัสเรื่องราวในยุคที่สอง ของดินแดนอย่าง Middle Earth เมื่อซีรีส์ได้ผู้กำกับมากฝีมือมากุมบังเหียนแล้ว ทีมนักแสดงก็ไม่แพ้กัน อย่าง Morfydd Clark รับบทเป็น Galadriel / Ismael Cruz Cordova รับบทเป็น Arondir / Charlie Vickers รับบทเป็น Halbrand / Markella Kavenagh รับบทเป็น Nori Brandyfoot / Megan Richards รับบทเป็น Poppy Proudfellow / Robert Aramayo รับบทเป็น Elrond / Cynthia Addai-Robinson รับบทเป็น Queen Regent Míriel และแค่เห็นทีมนักแสดงในเรื่องก็ทำให้ผู้เขียนตื่นเต้นมากๆเล่าย่อๆเรื่องราวมันเริ่มขึ้นเมื่อจอมมารแห่งความมืดและชั่วร้ายได้ทำลายต้นต้นทวิพฤกษาแห่งวาลินอร์ บัดนั้นทั่วย่อมหญ้าก็ตกอยู่ในความมืด บัดนั้นก็ยังไม่ถึงการสิ้นสุดเมื่อเหล่าเอลฟ์ผู้ไม่เคยรู้จักความตาย ก็เรียกความตายเป็นเมื่อนำตัวเองเข้าสู่สงครามเพื่อขับไล่จอมมารและพลังอันชั่วร้ายในจากไป ณ ดินแดนนี้แต่แล้วความชั่วร้ายกับหนีตายและหลบซ้อนตัวในดินแดนที่สงบสุขอย่าง Middle Earth การเดินทางเพื่อตามล่าของกลุ่มเอลฟ์ที่นำทีมโดย Galadriel ก็ได้เริ่มขึ้นเรื่องราวทั้งหมดจะเป็นอย่างไร Galadriel จะทำภารกิจของเธอลุล่วงหรือไม่ต้องติดตาม “กล้องพร้อม นักแสดงพร้อม เทปเดิน…ซีน 1 คัท 1 เทค 1…แอ็กชัน” 1 ซีน (Scene) คือ “ฉาก” ว่าด้วยเรื่องของฉาก / ไม่ต้องมีคำบรรยายอะไรที่มันมากมาย สำหรับฉากความยิ่งใหญ่ที่สวยงามของซีรีส์เรื่องนี้ ที่ต้องบอกว่ายิ่งใหญ่สมทุนสร้างที่มีมูลค่ามากถึง 715 ล้านเหรียญ เลยเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เอามากๆ ตั้งแต่อินโทรเปิดไปจนถึงการรังสรรค์ออกแบบภาพประกอบที่ดูมีความลึกรับในตัวของมันเองอย่างบอกไม่ถูก ว่าด้วยเรื่องอินโทรที่ไม่ธรรมดาเพราะได้ทีมสร้างจากแฟรนไชส์มหากาฬสุดยิ่งใหญ่ทั้ง 6 ภาคของผู้กำกับมากฝีมืออย่าง เซอร์ปีเตอร์ โรเบิร์ต แจ็กสัน (Sir Peter Robert Jackson) หรือที่ใครๆคุ้นหูคุ้นตาอย่าง ปีเตอร์ แจ็กสัน อย่าง ฮาเวิร์ด ชอร์ แต่ผู้เขียนก็มองว่าไม่ได้อลังการงานสร้างเท่าผลงานขึ้นหิ้งทั้ง 6 เรื่อง และได้ แบร์ แมคครีรี่ ที่เคยฝากฝีมือมาแล้วอย่าง GODZILLA King of Monsters มาสานต่อผลงานจนจบภาค ถึงแม้ว่าตัวซีรีส์จะได้ทีมเบื้องหลังที่ฝีมือดีมากๆก็ตามแต่ก็ไม่ได้ทำให้ซีรีส์นี้น่าสนใจ ธีมหลังต้องตอมรับเลยว่าทำออกมาได้ดีคุ้มทุนสร้างงาน CGI สวยงาม Mood and Tone ที่ดูแล้วต้องบอกได้เลยว่าดีงามจนต้องยกนิ้วให้แต่เรื่องที่ผู้เขียน ยอมรับไม่ได้นั้นก็คือธีมหลักที่เดินเรื่องผ่านฉากต่างๆได้ช้ามากๆ ไร้ซึ่งความสนุกและทิ้งช่วงความมันส์ห่างกันจนต้องบอกว่าคนดูไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นไปกับเรื่องราวของซีรีส์ได้เลย พูดง่ายๆคือนั่งดูไปหลับไปตื่นขึ้นมายังไม่งงกับเส้นเรื่อง เพราะฉากต่างๆมันดูยืดและการเล่าเรื่องที่ช้าเน้นบทที่ไม่ค่อยมีความสำคัญ ในหกตอนแรกต้องยอมรับเลยว่าไม่ได้มีความน่าสนใจเอาเสียเลย ไร้ฉากต่อสู้มันส์ๆ หรือแม้แต่ฉากชิงไหวชิงพริบก็ทำออกมาได้ไม่ดีไร้ความตื่นเต้น หรือฉากหลบนี้ของเหล่าเอลฟ์ยิ่งเป็นอะไรที่ต้องบอกเลยว่าอีหยังว่ะนี้กำลังดูซีรีส์เกาหลีอินเดียอยู่หรือเปล่าเพราะตัวละครตีรังกากลางอากาศได้แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนมองว่าดีนั้นก็คือซีรีส์ขยี้ความกลัวแสงของตัวละครออร์คได้อย่างน่าสนใจผ่านฉากหลายๆฉากของเรื่อง แต่พอมาถึงช่วงสองยอนให้หลังซีรีส์เริ่มยกระดับตัวเองก้าวเข้าสู่ความสนุกมากขึ้นเสนอฉากความน่าสิ้นหวัง การชิงไหวชิงพริบเริ่มทำให้เราเหล่าคนดูลุ้นระทึกกับเรื่องราวมากขึ้นผ่านฉากต่างๆเหล่านั้น และยังมีอีกฉากที่ผู้เขียนขนลุกเลยตอนกำลังดูนั้นก็คือตอนที่ตัวละครที่เป็นคนแคระผู้หยิ่งสำลังร้องเพลง ให้ผู้อ่านไปดูเลยว่ามันสวยงามและน่าขนรุกขนาดไหน เพลงและภาพผู้เขียนให้ผ่าน 2 คัท (Cut) คือ “มุม”ว่าด้วยเรื่องของบท / ซีรีส์เลือกที่จะนำเสนอประวัติศาสตร์อาร์ดาในช่วงยุคแรกเป็นบทเปิด ซึ่งหากผู้อ่านเป็นแฟนเดนตายของปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เหมือนกับผู้เขียนบอกได้คำเดียวเลยว่า การเล่าเรื่องราวแต่ละยุคนั้นสำคัญขนาดไหน เรียกชื่อยุคทั้งสามว่า ยุคแห่งชวาลา ยุคแห่งพฤกษา และยุคแห่งตะวัน และยังถูกแบ่งออกเป็นยุคและรอยต่ออีกมากมาย แต่ในซีรีส์เลือกที่จะเล่าเรื่องราวในยุคที่สอง ในสมัยที่เอลฟ์ใช้ชีวิตบนแสงของทวีปแห่งต้นพฤกษา และ มอร์กอธ บาวเกลียร์ ได้เข้าทำลาย ต้นพฤกษาทิ้งก่อนจะหลบหนีเข้ามายัง Middle Earth เมื่อต้นทวิพฤกษาแห่งวาลินอร์ถูกทำลายเหล่าเอลฟ์ก็ต้องเดินทางลงเรื่องข้ามแม่น้ำมายังมิดเดิลเอิร์ธ นี้น่าจะเป็นพล็อตใหญ่ๆของซีรีส์เท่าที่ผู้เขียนจับใจความได้ แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ซีรีส์นี้ไม่ได้ลิขสิทธิ์ของ อาจารย์ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน มาเพราะซีรีส์ถูกสร้างตามภาคผนวก การแต่งเติมเสริมเรื่องราวจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายของทีมสร้างมากๆอยู่แล้ว นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม่เสียงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ของซีรีส์เรื่องนี้มาในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก เพราะบทภาพยนตร์ที่ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งบางสิ่งบทบางบทของบางอย่างอาจจะมีเรื่องของค่าลิขสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนจับไต๋ได้นั้นก็คือการกล่าวถึงเรื่องราวที่สำคัญอันดับต้นๆของเรื่องนั้นก็คือ ดวงแก้วซิลมาริล เพราะมันก็มีอยู่ในภาคผนวกแต่น่าจะลดความซับซ้อนของบทซีรีส์เลยเลือกที่จะตัดเรื่องนี้ออกไป เมื่อการผ่ายแพ้ของ มอร์กอธ บาวเกลียร์ มาถึงซีรีส์ก็สานต่อบทของ เซารอน ซีรีส์เล่าเรื่องของยุคที่หนึ่งมาถึงตรงนี้และถ้าใครเป็นแฟนเดนตายนี้คือตายตาเหลือก เพราะหลายๆอย่างมันคัดแย้งกับ Lore ในเนื้อเรื่องของนิยายต้นฉบับอย่างมาก เมื่อกลายเป็นซีรีส์ยาวหลายชั่วโมงการอ้างอิงเนื้อเรื่องจากภาคผนวก สิ่งที่มีสร้างต้องทำนั้นก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการแต่งบทขึ้นมาใหม่เกือบทั้งหมด เลยกลายเป็นว่าบทของซีรีส์เรื่องนี้ผู้เขียนไม่อย่างให้นำไปอ้างอิงกับ Lore หลักอยากให้ผู้อ่านคิดว่าเป็นโลกคู่ขนาดของนิยายของอาจารย์ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน และภาพยนตร์ทั้งหกภาคของ ปีเตอร์ แจ็กสัน จะสบายใจกว่า 3 เทค (Take) คือ “จำนวนครั้งที่เล่น”ว่าด้วยเรื่องของตัวละคร / เมื่อผู้อ่าน อ่านมาถึงตรงนี้ผู้เขียนก็อยากจะบอกและย้ำอีกครั้งเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้คือโลกคู่ขนาดของ นิยายของอาจารย์ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน และภาพยนตร์ทั้งหกภาคของ ปีเตอร์ แจ็กสัน ผู้เขียนต้องยอมรับเลยว่าตัวละครในเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนกับบทของซีรส์เลย เพราะตัวละครหลากหลายมากๆ หลากหลายคนเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ ที่หลากหลายคนก็ให้ความเห็นกันไปต่างๆนาๆ เพราะว่าตัวละครในเรื่องส่วนใหญ่ไม่ตรงกัน Lore หรือนิยายต้นฉบับเอาเสียเลย อันนี้ผู้เขียนเห็นด้วยเพาะว่าการเคารพตัวละครเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะว่าหากบทไม่โดยฉากไม่ดีการเล่าเรื่องที่ช้าแสนช้า ตัวละครน่าจะเชิดหน้าชูตาของซีรีส์ขึ้นมาได้บ้างแต่เรื่องนี้ไม่เป็นอย่างนั้น เพราะตัวละครขัดแย้งกับความเป็นนิยายต้นฉบับอยู่มากมายหลากตัว เอลฟ์ผิวดำผมสั้นหรือแม้แต่ตัวนักแสดงกับอายุของตัวละครโคตรจะไม่มีอะไรเหมือนนิยายต้นฉบับเลย คนแคระไม่มีหนวด พวกฮาร์ฟุตที่รู้จักการทำนายและหนังสือทั้งที่ตามนิยายต้นฉบับเจ้าพวกนี้ไม่เปิดรับโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย แต่ตัวละครตัวหนึ่งที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดคงจะเป็นออร์คและวาร์ก ออร์คที่ดูจะใส่ความเป็นออร์คมาเกินเบอร์แบบเกินมากๆ เพราะอาการแพ้แสงที่เมื่อโดนแทบละลาย และวาร์กที่ออกแบบมาได้น่าเกลียดน่ากลัวแบบสุดๆ ใน the lord of the rings ว่าดูน่าเกลียดน่ากลัว ใน the hobbit ที่ออกแบบมาได้น่าเกรงขาม แต่ซีรีส์เรื่องนี้คือวาร์กติดโรคพิษสุนัขบ้าชัดๆ และอีกตัวคือคนแคระบางตัวที่น่าสนใจดูมาความเป็นคนแคระ ส่วนเอลฟ์ไม่ต้องพูดถึงไม่ผ่านผู้เขียนอย่างแรง อาจจะเป็นเพราะว่าซีรีส์อาจจะอย่างนำเสนอความหลากหลายของเล่าตัวละครก็เป็น แต่เมื่อมันขัดกับภาพลักษณ์ที่เราเหล่าคนดูเคยเห็นและเคยอ่านมันเลยกลายเป็นเรื่องที่รับไม่ได้สำหรับคนส่วนใหญ่ที่เป็นแฟนนิยายต้นฉบับอยู่แล้ว ถึงจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเหล่าตัวละครในด้านของนักแสดง แต่ผู้เขียนกลับชอบเพราะเหล่าตัวละครต่างๆของซีรีส์เรื่องนี้มีมิติในแบบของตัวมันเอง บางตัวอาจจะไม่ได้เป็นไปตาม Lore ก็ตาม กลายชิงไหวชิงพริบเหมือแม้แต่การแสดงออกทางกิริยาท่าทางชีหน้า ผู้เขียนว่าเหล่านักแสดงมืออาชีพกับแบบสุดๆอีกเรื่องเลยก็ว่าได้ 4 Slate คือ ป้ายที่เขียนบอก ซีน คัท เทคว่าด้วยเรื่องของความหมาย / เราเรียกความตายในหลายๆรูปแบบ เป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆกับเหล่าตัวละครที่ไม่แก่ไม่ตายอย่างเอลฟ์ ตามที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ด้านบนว่าเอฟ์ได้เข้าร่วมสงครามเลยทำให้เอลฟ์ตายลงไปเป็นจำนวนมาก หากเป็นโลกเราหรือโลกแห่งความเป็นจริงที่ผู้เขียนและผู้อ่านอยู่นั้น ความตายคือเรื่องปกติที่เราเข้าใจและเห็นมันอยู่ในทุกช่วงของการใช้ชีวิต แต่ในโลกปกรณัมชุดมิดเดิลเอิร์ธของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน เอลฟ์คือสิ่งมีชีวิตที่ต้องบอกว่าความตายมาไม่ถึง และเข้าได้รู้จักความตายผ่านการต่อสู้ในสงคราม เอลฟ์ตัวที่ตายน่าจะไม่ได้คิดอะไรมาก แต่เอลฟ์ที่ยังอยู่นั้นต่างหากที่ดูจะทรมานมากที่สุด เพราะเราจะจำคนที่ตายได้ในทุกก้าวเดินและเติบโต มันจึงเป็นอะไรที่น่าสนใจแบบสุดๆของซีรีส์เรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าจะมีการเผยออกมาแต่ช่วงสั้นๆและสั้นมากๆกับการเล่าประเด็นนี้แต่ความน่าสนใจมันกลับมีในทุกมุมของเรื่องเลยก็ว่าได้ ที่สื่อให้เห็นถึงเรื่องราวของความตาย และในซีรีส์เสนอได้อย่างตรงไปตรงมาจริงๆ เพราะตัวละครที่มีบทบาทเด่น ๆก็เริ่มล้มหายตายจาก จนทำให้เส้นเรื่องเล่าถึงความตายเป็นเรื่องปกติ และอีกประเด็นที่น่าสนใจนั้นก็คือการกล้าที่จะก้าวเดินออกจากจุดเดิม เราเหล่าคนดูจะเห็นประเด็นตกผลึกนี้จะตัวละครที่ชื่อ Nori Brandyfoot ที่เธอเลือกที่จะช่วยเหลือคนแปลกหน้าและปกป้องเขาเหมือนคนในครอบครับ และสุดท้าย Nori Brandyfoot ก็กล้าที่จะก้าวเดินออกไปผจญภัยเพื่อให้ได้พบกับสิ่งใหม่ๆในมิดเดิลเอิร์ธที่กว้างใหญ่นี้ เป็นประเด็นดีๆอีกประเด็นที่สอนให้เราเหล่าคนดูรู้จักกล้าที่จะช่วยเหลือคนอื่นเมื่อเขาตกทุกข์ได้ยาก และกล้าที่จะออกจาก Comfort Zone ของตัวเองและ Move On เพื่อให้ได้เจอสิ่งใหม่ๆ ผู้เขียนว่าเป็นประเด็นตกผลึกที่ซีรีส์สอดแทรกเข้ามาได้น่าสนใจและอีกมากจริงๆ 5 “คัท !!!!”ถึงแม้ว่าเส้นเรื่องจะไม่ได้อิงตาม Lore และมีการแต่เสริมตัวละครเพิ่มขึ้นมาใหม่มากมายหลายตัว น่าจะเป็นการแต่งเพิ่มเพื่อรองรับเส้นเรื่องที่จะมาในซีซันสองก็เป็นได้ ซีรีส์ที่ไม่ได้เล่าตามนิยายต้นฉบับนี้เองที่มันทำให้ผู้เขียนกังวนมากที่สุดเพราะอย่างที่ได้ดูซีซันแรกที่จบไป มันไม่ได้มีอะไรติดตาตรึงใจเท่าที่ควร และในแง่ของเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ผู้เขียนยังแอบกลัวเลยว่า Amazon Prime Video จะไม่อนุมัติให้สร้างภาคต่อ แต่ความยิ่งใหญ่ที่คุ้มทุนสร้างมากที่สุดในเรื่องนี้ ที่หนีไม่พ้นคงจะเป็นเรื่องของ ฉากต่างๆที่ทำออกมาได้สวยงามสมจริงมากๆ คาแรกเตอร์ของตัวละครที่ทำออกมาได้ดีไม่แพ้กันถึงแม้จะขัดกับนิยายต้นฉบับก็ตามที บทที่ต้องบอกว่าไม่ได้น่าสนใจเอาเสียเลย เอามาใช้กับซีรีส์เรื่องนี้ได้สบายๆ ด้วยความที่เป็นบทที่เขียนขึ้นมาใหม่แบบเกือบ 100% ทำให้ประเด็นจริงที่ผู้เขียนรู้และผู้อ่านไม่มากก็น้อยน่าจะรู้มาแล้วบ้าง แต่ซีรีส์กลับทำได้จืดไร้อรรถรสและในแง่ของความหมายก็ด้วยน่าเสียดายที่ประเด็นต่างๆไม่ได้ถูกหยับยกขึ้นมาเล่าแต่เลือกที่จะ หยิบเล็กหยิบน้อยจนจับประเด็นไม่ได้มากเท่าที่ควร เมื่อความงามของซีรีส์เรื่องนี้หายากจึงเกิดเสียงที่เป็นเชิงลบมากจนหนาหู แต่ก็เป็นความโชคดีที่ผู้เขียนตัดสินใจดู เพราะอย่างพิสูจน์ด้วยตาของตัวเอง สรุปงายๆถึงบทแย่ตัวละครไม่สมเหตุสมผลการเล่าฉากที่เนิบช้าคนน่าเบื่อ แต่ความสนุกในฐานะคนดูต้องบอกว่าเริ่มมีขึ้นมาบ้างในช่วงหลังๆ ก่อนจบซีซัน CGI สวยงาม Mood and Tone ที่ดูเข้าท่าเข้าทางแบบสุดๆ จนบางทีผู้เขียนคิดว่าทีมสร้างน่าจะโชว์ตัวนี้แหล่ะเป็นจุดขาย แต่ก็เป็นจุดขายที่ว้าวได้ไม่น่าเพราะมันเห็นมากไปก็เริ่มที่จะไม่อยากเห็น Easter Egg ก็ไม่ค่อยมีมาให้เราเหล่าคนดูหาจุดหน้าตื่นเต้นเท่าไหร่ แต่ก็ยังอยากจะชวนผู้อ่านดูด้วยตัวเอง และให้ทำเหมือนกับที่ผู้เขียนแนะนำไปตอนต้นว่า ให้คิดว่าเป็นโลกคู่ขนาดของนิยายและภาพยนตร์ทั้งหกภาคของ ปีเตอร์ แจ็กสัน แค่นี้การดูซีรีส์เรื่องนี้น่าจะสนุกมากขึ้นก็เป็นได้ ชอบประโยคนี้ “จงเชื่อจมูกตัวเอง” - คนแปลกหน้าจากฟากฟ้า(สิ่งหนึ่งที่คนดูอย่างผู้เขียนเห็นคือความตั้งใจของทีมผู้กำกับทีมนักแสดง คะแนนเต็มแบบไหนอย่างไรไม่ควรนำมาตัดสิน กับเรื่องของภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม "คะแนนของคุณไม่ใช่คะแนนของใคร ที่สำคัญกำลังใจย่อมดีกว่าการตัดสินด้วยคะแนน" ผู้เขียนจะย้ำอยู่เสมอ สิบปากว่าไม่เท่าตาคุณเห็น ต้องชมเองให้ได้เท่านั้น)#จิปาถะและอรรถรสขอบคุณภาพประกอบจาก The Lord of the Rings on Prime - ปก / 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 / 8 / 9 / 10 / 11 / 12 / 13 / 14 / 15 / 16ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก End Credits ท้ายเรื่อง และการเป็นแฟนเดนตายผู้กำกับภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักเขียนบทภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกม นักแสดงทุกท่านทีมสร้างภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมทุกคนและบริษัทและค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ , อนิเมะ , ซีรีส์ , แอนิเมชัน และเกมและในวันนี้ก่อนจากกันไปบอกเราหน่อยว่าผู้อ่านเป็นแฟน The Lord of the Rings: The Rings of Power เดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ : แหวนแห่งอำนาจ เพราะอะไร อย่าลืมกดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจ แล้วท่านจะไม่พลาดเหล่าคอนเทนต์ใหม่ๆที่ทาง จิปาถะ และ อรรถรส จัดมาให้แบบ Exclusive เจาะลึกถึงวงการบันเทิงที่มากกว่าใคร หากคุณรักภาพยนตร์ รักซีรีส์ อนิเมะ แอนิเมชัน และเกม ที่เดียวที่ จิปาถะ และ อรรถรส จะฟังเพลงหรือดูหนัง ซีรีส์ใหม่สุดปัง โหลดเลยที่ App TrueID โหลดฟรี !
จิปาถะและอรรถรส • 2 ก.พ. 66
อ่าน
ตามรอย The Lord of the Rings 10 ที่เที่ยวนิวซีแลนด์ ฉากมิดเดิลเอิร์ธสุดอลัง
แม้จะผ่านมากว่า 20 ปีแล้ว แต่ The Lord of the Rings ก็ยังเป็นภาพยนตร์แฟนตาซีฟอร์มยักษ์ที่อยู่ในใจหลายคนเรื่อยมา และหนึ่งในความประทับใจที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ ฉากถ่ายทำ สุดอลังการ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะถ่ายทำใน ประเทศนิวซีแลนด์ ค่ะ วันนี้เราเลยอยากชวนทุกคนไปชม 10 ที่เที่ยวนิวซีแลนด์ ตามรอย The Lord of the Rings ผจญภัยในดินแดน มิดเดิลเอิร์ธ ด้วยกัน ลองดูว่าของจริงจะสวยอลังขนาดไหน เที่ยวตามรอย The Lord of the Rings ดินแดนมิดเดิลเอิร์ธ ที่มีอยู่จริง 1. Hobbiton Movie Set Tours Hobbiton แห่งแคว้นไชร์ Timo Kaestner / Shutterstock.com ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวขจีแสนอันกว้างใหญ่ ทะเลสาบ ฟาร์มแกะ และบรรยากาศอันเงียบสงบ เราจะพบกับฮอบบิตัน (Hobbiton Movie Set Tours) หนึ่งในฉากถ่ายทำสำคัญของ The Lord of the Rings และ The Hobbit ที่ตั้งอยู่ใน เมืองมาตามาตา (Matamata) เมืองทางชนบทใจกลาง ภูมิภาคไวกาโต (Waikato) ประเทศนิวซีแลนด์ เดิมสถานที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ของ ฟาร์มอเล็กซานเดอร์ (Alexander Farm)ที่มีเนื้อที่กว่า 1,250 เอเคอร์ ก่อนจะถูกเนรมิตให้กลายเป็น หมู่บ้านฮอบบิท แห่งแคว้นไชร์อันแสนน่ารักและสงบสุขในมิดเดิลเอิร์ธตามที่เราเห็นกันในภาพยนตร์ค่ะ อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ ตามรอย The Lord of the Rings ฮอบบิตัน Hobbiton ที่เที่ยวนิวซีแลนด์ แม้ว่าจะถ่ายทำเสร็จไปแล้ว แต่ฉากก็ไม่ได้ถูกทำลายไปค่ะ หมู่บ้านฮอบบิทแห่งนี้ยังได้รับการอนุรักษ์เอาไว้ และเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบ One Day Trip ที่เราจะได้ชม หมู่บ้านฮอบบิทจำนวน 44 หลัง บ้านแบ๊กกิ้นส์ (Baggins) สะพานโค้งคู่ โรงสี คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก และ เดอะ กรีน ดราก้อน อินน์ (The Green Dragon Inn) สถานที่พบปะสังสรรค์ของเหล่าฮอบบิทนั่นเองค่ะ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความเป็นเอกลักษณ์มากๆ เหมือนได้หลุดเข้าไปอยู่ในดินแดนฮอบบิทแบบในหนังจริงๆ พิกัด : https://goo.gl/maps/LocJtkEnUTw4pcC58 ============= 2. Weta Workshop Wellington trabantos / Shutterstock.com ชมโปรดักชั่น พร็อพ และเทคนิคเจ๋งๆ ในการถ่ายทำภาพยนตร์ The Lord of the Rings ที่ Weta Workshop เมืองเวลลิงตัน (Wellington) หนึ่งในสตูดิโอที่มีชื่อเสียงในการผลิตภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่เคยกวาดรางวัลมาแล้วหลายเรื่อง ซึ่งนอกจาก The Lord of the Rings แล้ว ก็ยังมี King Kong และ The Avatar ด้วย รูปแบบทัวร์สตูดิโอจะแบ่งออกเป็น 2 โซนคือThunderbirds Are Go Behind-The-Scenes Experience และ Weta Cave Workshop Tourแต่ละโซนก็จะเผยให้เห็นเบื้องหลังการถ่ายทำ และโปรดักชั่นของภาพยนตร์ต่างๆ รวมถึงพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงพร็อพ และตัวละครหลักๆ ในภาพยนตร์ แฟนหนังห้ามพลาดเลยนะ! Winston Tan / Shutterstock.com พิกัด : https://goo.gl/maps/wTxW2ZPvbXSrLDBw5 ============= 3. Kaitoke Regional Park Rivendell ความงดงามชวนฝันของ ริเวนเดลล์ (Rivendell) หนึ่งในอาณาจักรของเผ่าเอลฟ์ยังคงเป็นสิ่งที่น่าตราตึงใจมาจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะทัศนียภาพอันงดงามของเมืองที่รายล้อมไปด้วยน้ำตกขนาดใหญ่ และป่าเขาอุดมสมบูรณ์ เมืองอันงดงามราวกับหลุดมาจากเทพนิยายแห่งนี้สร้างขึ้นที่ Kaitoke Regional Park ในเขตเวลลิงตัน ทางตอนใต้ของ เกาะเหนือ (North Island) ของนิวซีแลนด์ น่าเสียดายที่หลังจากถ่ายทำจนเสร็จสิ้นก็ต้องนำฉากออกเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีดังเดิม แต่ก็ยังเหลือซุ้มประตูบางส่วนให้เราได้ชมบรรยากาศภายในริเวนเดลล์สักนิด ผืนป่าช่างร่มรื่น และอุดมสมบูรณ์สมกับเป็นฉากถ่ายทำของริเวนเดลล์จริงๆ ค่ะ พิกัด : https://goo.gl/maps/pDWSfnQ49iTa3CPm6 ============= 4. Mount Owen Dimrill Dale Oliver Foerstner / Shutterstock.com จำฉากที่เหล่าพันธมิตรแห่งแหวนหนีออกมาจากเหมืองมอร์เรียโดยไม่มีแกนดาล์ฟใน The Lord of the Ring : Fellowship of the Ring ได้มั้ยคะ ฉากนี้ได้ถ่ายทำที่ Mount Owen ภูเขาสูงกว่า 1,875 เมตร ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในอุทยานแห่งชาติ Kahurangi National Park เขต Tasman ของเกาะใต้ (South Island) เหมาะกับสายเดินป่าและปีนเขาที่ลุยพอสมควร เพราะการเดินทางขึ้นไปยังยอดเขานั้นจะต้องใช้เวลา 6-8 ชั่วโมงเลยทีเดียว และต้องเดินทางเท้าขึ้นไปเท่านั้น นอกจากใครจะมีเฮลิคอปเตอร์ก็สามารถบินขึ้นไปยังยอดเขาได้เช่นกันค่ะ แต่ขอบอกว่าข้างบนวิวสวยมากกกก ใครที่ฝ่าฟันขึ้นไปได้แล้วไม่มีผิดหวังแน่นอน พิกัด : https://goo.gl/maps/TktATtPvuvu3EMza9 ============= 5. Mavora Lake Nen Hithoel ในช่วงท้ายของ The Fellowship of the Ring เราจะได้เห็นฉากที่เหล่าพันธมิตรแห่งแหวนออกเดินทางไปตาม แม่น้ำ Anduin หนึ่งในเส้นทางนั้นก็คือ Nen Hithoel ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำ สถานที่แห่งนี้ถ่ายทำที่ North Mavora Lake ในเขตของ Te Wāhipounamu มรดกโลกทางธรรมชาติทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะใต้ บริเวณทะเลสาบนั้นมี เส้นทางศึกษาธรรมชาติ Greenstone Walkway ในระยาทาง 50 กิโลเมตร ที่เชื่อมต่อกับลานกางเต็นท์ของอุทยานฯ เหมาะกับการมาเดินป่า และตั้งแคมป์ชมธรรมชาติสุดๆ พิกัด : https://goo.gl/maps/wj21qa6S7cPCfazAA ============= 6. Kawarau Suspension Bridge The Argonath Kawarau Suspension Bridge สะพานแขวนที่เชื่อมต่อระหว่างสองฝั่งของ แม่น้ำ Kawarau ด้วยความสูง 42 เมตร และยาว 120 เมตร สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1880 นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่น่าทึ่งแห่งหนึ่งในยุคนั้น และยังเป็นสถานที่ที่ทำให้เราได้รู้จักการกระโดดบันจี้จัมพ์เป็นครั้งแรกด้วย นอกเหนือจากนั้นแล้ว บริเวณสะพานแห่งนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของฉากถ่ายทำ The Gates of Argonathประติมากรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในมิดเดิลเอิร์ธที่ตั้งอยู่บนแม่น้ำ Anduin ที่เหล่าพันธมิตรแห่งแหวนเดินทางผ่านด้วย พิกัด : https://goo.gl/maps/CiZCtUq5kp7st4Ur6 ============= 7. Mount Sunday Edoras เมืองหลวงแห่ง Rohan Edorasเมืองหลวงของอาณาจักรโรฮัน (Rohan) ที่ปรากฏให้เราได้ชมเป็นครั้งแรก ใน The Lord of the Rings : The Two Towers ถ่ายทำที่ Mount Sunday ในเมือง Ashburton ที่ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งทางทิศตะวันออกของเกาะใต้ ขอบอกว่าความยิ่งใหญ่ของเมืองหลวงแห่งนี้เกิดจากฉากที่สร้างขึ้นจริงที่ Mount Sunday เลยนะ และแม้จะได้มีการนำฉากเหล่านั้นออกไปแล้ว แต่เราก็ยังสามารถดื่มด่ำกับทัศยนีภาพอันงดงามของทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ และขุนเขาที่ล้อมรอบได้เช่นกัน พิกัด : https://goo.gl/maps/aTsetE274E34fqrE9 ============= 8. Twizel Pelennor Fields ฉากสู้รบที่ Pelennor Fields บริเวณหน้าป้อมของ Minas Tirith เมืองหลวงของอาณาจักรกอนดอร์ (Gondor) นับเป็นหนึ่งในฉากสู้รบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดฉากหนึ่งในไตรภาค The Lord of the Rings เลยก็ว่าได้ ซึ่งฉากนี้ได้ถ่ายทำที่ Twizel ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยเทือกเขาหิมะ แถมยังตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Mount Cook National Park ด้วย พิกัด : https://goo.gl/maps/3gCLMVu21qywugYj8 ============= 9. Putangirua Pinnacles Dimholt ชมความมหัศจรรย์ของ Putangirua Pinnacles หุบเขาหินกรวดสูงใหญ่ในอุทยาน Aorangi Frest Park ที่ถูกกัดกร่อนจากน้ำฝนและน้ำท่วมขังมาเป็นเวลา 7 ล้านปี หุบเขาอันน่าพิศวงแห่งนี้ได้กลายมาเป็นสถานที่ถ่ายทำของ Dimholt หุบเขาที่อารากอน กิมลี และเลโกลัสเดินทางไปหากองทัพผี (Army of the Dead) ให้มาช่วยสู้รบใน The Lord of the Rings : The Return of the King นั่นเองค่ะ พิกัด : https://goo.gl/maps/xNjmWFu1hABwzvbH7 ============= 10. Mt. Ngauruhoe Mount Doom แห่ง Mordor ในที่สุดเราก็ผจญภัยมาจนถึง Mount Doom แห่งมอร์ดอร์ (Mordor) เพื่อทำลายแหวนแล้ว! ฉากนี้ถ่ายทำที่ Mount Ngauruhoe ภูเขาไฟขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึง 2,291 เมตร แน่นอนว่าของจริงไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนในหนัง แถมวิวรอบด้านยังสวยมากๆ ด้วย ซึ่งเราสามารถเดินทางเท้าผ่านเส้นทางศึกษาธรรมชาติ The Tongariro Alpine Crossing เพื่อชมความงามของภูเขาไฟได้อย่างเต็มอิ่ม แต่ก็ต้องอาศัยความแข็งแรงของร่างกายไม่น้อยเลยเช่นกันค่ะ พิกัด : https://goo.gl/maps/rhR2Z38zuVJ7j2Y38 ============= Bonus Locations 11.Mont Saint-Michel Minas Tirith เมืองหลวง Gondor ไหนๆ ก็พาไปยังสถานที่ถ่ายทำต่างๆ ในนิวซีแลนด์กันแล้ว เราขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับแรงบันดาลใจให้กับสถานที่สำคัญต่างๆ ใน The Lord of the Rings บ้างดีกว่า นครสีขาว หรือ มินัสทิริธ (Minas Tirith) เมืองหลวงอันยิ่งใหญ่และงดงามของกอนดอร์ที่เราเห็นในภาพยนตร์นั้นได้แรงบันดาลใจมาจาก มหาวิหารมงแซ็ง-มีแชล (Mont Saint-Michel) แคว้นนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส นั่นเองค่ะ ซึ่งก็ไม่แปลกใจเลย เพราะทั้งโครงสร้างของเมืองที่มีมหาวิหารตั้งด้านบนสุด รายล้อมไปด้วยหมู่บ้านเล็กๆ และแม่น้ำก็มีความคล้ายคลึงกับมินัสทิริธเป็นอย่างมาก จะต่างก็ตรงที่มินัสทิริธรายล้อมไปด้วยขุนเขาและทุ่งหญ้าเท่านั้น อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ เที่ยวฝรั่งเศส Mont Saint Michel วิหารกลางน้ำ มรดกโลกอันเลอค่า พิกัด : https://goo.gl/maps/t9aBwnQ1W4MYtgLv7 ============= 12. Lauterbrunnen Rivendell ส่วนเมืองริเวนเดลล์ในนวนิยาย The Lord of the Rings ที่เขียนโดย J.R.R Tolkienหรือจอห์น โรนัลด์ รูล โทลคีน (John Ronald Reuel Tolkien)ก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก เลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen) หมู่บ้านเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยน้ำตกน้อยใหญ่ถึง 72 แห่ง ใจกลางหุบเขาสูงในรัฐเบิร์น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพราะหลังจากที่โทลคีนได้ไปเห็นทิวทัศน์อันงดงามชวนฝันของหมู่บ้านแห่งนี้ ก็ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับเมืองที่รายล้อมไปด้วยน้ำตกอย่าง ริเวนเดลล์ นั่นเองค่ะ อ่านรีวิวเต็มๆ ที่ เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ เลาเทอร์บรุนเนิน Lauterbrunnen หมู่บ้านน่ารักกลางหุบเขา พิกัด : https://goo.gl/maps/JYjCjTFoNTVRx1827 ดูหนัง The Lord of the Rings : Fellowship of the Ring ออนไลน์ ที่นี่ ดูหนัง The Lord of the Rings : The Two Towers ออนไลน์ ที่นี่ ดูหนังThe Lord of the Rings: The Return of the King ออนไลน์ ที่นี่
เที่ยวต่างประเทศ • 7 ก.ย. 65
อ่าน
ตามรอย The Lord of the Rings ฮอบบิตัน Hobbiton ที่เที่ยวนิวซีแลนด์ ดินแดนฮอบบิท แห่งมิดเดิลเอิร์ธ
ท่ามกลางศึกแย่งชิงแหวน แสวงหาอำนาจใน มิดเดิลเอิร์ธ ว่ากันว่ามีดินแดนแห่งหนึ่งที่ตัดขาดจากการแก่งแย่งชิงดีเหล่านั้น นั่นก็คือ ฮอบบิตัน แห่งแคว้นไชร์นั่นเอง และแน่นอนว่าดินแดนแห่งนี้ไม่ได้มีแค่ในหนังสือและภาพยนตร์เท่านั้น แต่เป็น ที่เที่ยวนิวซีแลนด์ ที่มีอยู่จริง ! เอาล่ะค่ะชาวมิดเดิลเอิร์ธทุกคน มา เที่ยวนิวซีแลนด์ ที่ ฮอบบิตัน Hobbiton ตามรอย The Lord of the Rings และ The Hobbit ภาพยนตร์แฟนตาซีในดวงใจของพวกเรากันเถอะ มาดูว่าสถานที่จริงจะสวย และน่ารักเหมือนในภาพยนตร์มากแค่ไหนกัน 15 ที่เที่ยวจริง ตามหนังดัง ซีรีส์โดนๆ ฉากถ่ายทำ สวยตะลึงจนต้องไปสักครั้งในชีวิต !!! 100 สถานที่สวยที่สุดในโลก อะเมซซิ่ง สวยตะลึง แทบลืมหายใจ !!! Timo Kaestner / Shutterstock.com ฮอบบิตัน Hobbiton ที่เที่ยวนิวซีแลนด์ บ้านฮอบบิท แห่งมิดเดิลเอิร์ธ เดินทางไปยัง มาตามาตา (Matamata) เมืองทางชนบทใจกลาง ภูมิภาคไวกาโต (Waikato) ประเทศนิวซีแลนด์ ก็จะพบกับ หมู่บ้านฮอบบิท หรือ ฮอบบิตัน (Hobbiton Movie Set Tours)ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ถ่ายทำของภาพยนตร์แฟนตาซีฟอร์มยักษ์ The Lord of the Rings และ The Hobbit ที่สร้างมาจากวรรณกรรมแฟนตาซีชื่อเดียวกันของ J.R.R Tolkien หรือ จอห์น โรนัลด์ รูล โทลคีน (John Ronald Reuel Tolkien) นักเขียน และนักภาษาศาสตร์ชื่อดังนั่นเองค่ะ ด้วยภูมิทัศน์ของเนินทุ่งหญ้าสีเขียวขจีแสนอันกว้างใหญ่ ทะเลสาบ ฟาร์มแกะ และบรรยากาศอันเงียบสงบ ทำให้ที่นี่ไม่ต่างอะไรจาก แคว้นไชร์ ที่โทลคีนได้บรรยายเอาไว้ในหนังสือ ปีเตอร์ แจ็คสัน (Peter Jackson) ผู้กำกับชาวนิวซีแลนด์ จึงตัดสินใจเลือก ฟาร์มอเล็กซานเดอร์ (Alexander Farm) ที่มีเนื้อที่กว่า กว่า 1,250 เอเคอร์ ในมาตามาตาแห่งนี้มาสร้างเป็น หมู่บ้านฮอบบิท แห่งแคว้นไชร์อย่างที่เราเห็นกันในหนังค่ะ ไฮไลท์ ฮอบบิตัน ฮอบบิตันแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ถ่ายทำในภาพยนตร์เท่านั้น แต่ยังอนุรักษ์ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของนิวซีแลนด์มาจนถึงทุกวันนี้ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะซื้อแพ็คเกจแบบ One Day Trip เพื่อใช้เวลาท่องเที่ยวที่นั่นได้แบบเต็มวันเลยค่ะ โดยแพ็คเกจนี้ก็จะรวมการเดินทางไป-กลับ และทัวร์ภายในหมู่บ้านในเรียบร้อยเลย เมื่อไปถึงแล้วก็จะพบกับหมู่บ้านฮอบบิทจำนวน 44 หลัง พร้อมทั้ง สะพานโค้งคู่ โรงสี คาเฟ่ ร้านขายของที่ระลึก และ เดอะ กรีน ดราก้อน อินน์ (The Green Dragon Inn) สถานที่พบปะสังสรรค์ของเหล่าฮอบบิทที่เสิร์ฟเครื่องดื่ม ทั้งเบียร์ และจินเจอร์ เอล (Ginger Ale) ให้เราได้ชิมกันนอกจากนี้ยังมีการจำลองวิถีชีวิตของเหล่าฮอบบิท เช่น อุปกรณ์การทำไร่ไถนา ราวตากผ้า แปลงปลูกผัก สวนดอกไม้หน้าบ้าน และกิมมิกอื่นๆ อีกที่ทำให้เราได้สัมผัสกับวิถีชีวิตชาวแคว้นไชร์ได้อย่างเต็มอิ่มราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในโลกแห่งมิดเดิลเอิร์ธจริงๆ เลยแหละ Timo Kaestner / Shutterstock.com แน่นอนว่ามาถึงนี่ทั้งทีก็ต้องไปเยี่ยมเยียน บ้านแบ๊กกิ้นส์ (Baggins) บ้านของตัวเอกตัวจิ๋วของ The Hobbit และ The Lord of the Rings อย่าง บิลโบ แบ๊กกิ้นส์ (Bilbo Baggins) และ โฟรโด แบ๊กกิ้นส์ (Frodo Baggins) ซึ่งเราจะได้ถ่ายรูป ชมความน่ารักของบ้านได้จากด้านนอกเท่านั้น เพราะจริงๆ ด้านในก็ไม่มีอะไรเลยค่ะ เป็นห้องโล่งๆ เท่านั้น อินทีเรียร์ที่เราเห็นกันในภาพยนตร์ก็คือฉากถ่ายทำที่เขาถ่ายในสตูดิโอนั่นเอง แต่แค่ได้มาชม และฟังการบรรยายของไกด์ก็รู้สึกฟินมากไม่น้อย ถือเป็นการเดินทางที่คอมพลีทมากสำหรับแฟนคลับจักรวาล The Lord of the Rings อย่างเราๆ 😊 ข้อมูล Hobbiton Movie Set Tours นิวซีแลนด์ ที่อยู่ : 501 Buckland Road Matamata 3472 New Zealand พิกัด : https://g.page/hobbiton-movie-set?share เปิดให้เข้าชม : 09.00-17.00 น. โทร : +64 7888-1505 เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/Hobbitontours/ ดูหนัง เดอะ ฮอบบิท: การผจญภัยสุดคาดคิด ออนไลน์ ที่นี่ ดูหนัง เดอะ ฮอบบิท 2 ดินแดนเปลี่ยวร้างของสม็อค ออนไลน์ ที่นี่ ตามติดเทรนด์เที่ยว อัพเดทที่พักสวยแชร์ทริปสุดชิล โพสต์ภาพสุดปังของคุณได้แล้วที่แอปทรูไอดีคลิกเลย TrueID Travel Community
เที่ยวต่างประเทศ • 25 ม.ค. 65
อ่าน
ตามรอยหนัง The Lord of The Rings ที่หมู่บ้าน Hobbit
ถ้าพูดถึงหนัง ในดวงใจใครหลาย ๆ คน ผมเชื่อว่าเรื่องหนึ่งในนั้นของใครหลาย ๆ คนคงต้องมีเรื่อง The Lord of The Rings แน่นอน และสำหรับคนที่เป็นแฟนคลับหนังเรื่องนี้ก็คงจะอยากไปสัมผัสบรรยากาศสถานที่ถ่ายทำจริง ซึ่งตัวผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบหนังเรื่องนี้ และได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ประเทศ New Zealand ซึ่่งเป็นสถานที่ถ่ายทำหลัก ๆ ของหนังเรื่องนี้ และหนึ่งในฉากของหนังเรื่องนี้ก็คือ หมู่บ้าน Hobbit หรือ Hobbiton ซึ่งเป็นบ้านเกิดพระเอกและจุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้ ซึ่งหลังจากถ่ายทำเสร็จเค้าก็ไม่ได้ทำลายทิ้้งแต่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสเข้าชม โดย หมู่บ้าน Hobbit ตั้งอยู่ที่เกาะเหนือของ New Zealand ที่เมืองมาทามาท่า(Matamata) ซึ่งเป็นเมืองที่มีพื้นที่โดยรอบเป็นเนินเขาสำหรับเลี้ยงสัตว์และก็ฟาร์มแกะซึ่งมีให้เห็นตลอดทาง (นอกจากแกะก็เจอวัวด้วยนะ) การเที่ยวชมของที่นี้จะจัดให้เราเข้าไปเป็นรอบ ๆ โดยจะให้เราซื้อตั่วก่อน แล้วเค้าจะให้เรานั่งรถเข้าไปชมสถานที่โดยจะมีรถบัสให้ขึ้นเป็นรอบ ๆ ไประหว่างที่นั่งบนรถเค้าก็จะเปิด วีดีโอต้อนรับให้เราดูโดยมี Peter Jackson ผุ้กำกับหนังเรื่องนี้เป็นคนพูดต้อนรับเราในวีดีโอ ไกด์บนรถเล่าว่า Peter Jackson เป็นคนที่ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เลือกโลเคชั่นที่จะมาสร้างหมู่บ้าน hobbit ด้วยตัวเองแล้วก็เลือกอยู่หลายที่มาก จนมาได้ที่บริเวณนี้ โดยโลเคชั่นที่ตั้งก่อนที่จะมาสร้างเป็นหมู่บ้าน Hobbit นั้น แต่ก่อนจะเป็นฟาร์มที่เลี้ยงแกะและวัว ซึ่งเรายังสามารถเห็นฝูงแกะจำนวนมากอยู่รอบ ๆ หมู่บ้านในปัจจุบัน บริเวณโดยรอบจะเป็นทุ่งหญ้าสีเขียวอุดมสมบูรณ์ และเนินเขามากมายสุดลูกหูลูกตา อากาศดีมาก ๆ ทำให้ลืมความวุ่นวายในเมืองได้มากเลยทีเดียว โดยไกด์ยังได้เล่าอีกว่าต้นไม้ที่อยู่เหนือบ้านโฟรโดนั่นเป็นต้นไม้ปลอม เนื่องด้วยบริเวณนี้เป็นทุ่งโล่งและไม่มีต้นไม้ในแบบที่ต้องการ เมื่อเริ่มแรกได้เอาต้นไม้จริงมาปลูกแต่อยู่ได้ไม่นานต้นไม้ก็เหี่ยวเฉา ทางทีมงานผู้สร้างเลยตัดปัญหาด้วยการใช้ต้นไม้ปลอมมันซะเลย บริเวณภายในหมุู่บ้านเค้าจะกั้นเชือกให้เราเดินไปตาามทาง ที่กำหนดไว้เท่านั้นโดยแบ่งเดินเป็นกรุ๊ป ๆ ตามรอบรถที่เราขึ้นมา สภาพหมู่บ้านยังคงไว้เหมือนกับที่เราเห็นในหนัง ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ ราวตากผ้าที่ยังมีเสื้อผ้าของชาวบ้านที่แขวนอยู่ ร้านขายของ เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าเข้ามาอยู่ในโลกของ The Lord of The Rings จริง ๆ การเดินชมรอบหมู่บ้านจะใช้เวลาเดินชมโดยประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากเดินเพลิดเพลินกับบ้านฮอบบิทเสร็จแล้ว ก็จะมาแวะที่สุดท้ายคือร้าน กรีน ดราก้อน อินน์ (Green Dragon Inn) ทางร้านก็จะให้เครื่องดื่มเราฟรี 1 แก้ว และก็เลือกซื้อเมนูอื่น ๆ ได้ก่อนที่จะนั่งรถกลับไปยังทางเข้า ซึ่งก็ถือว่าเป็นการจบโปรแกรมเที่ยวที่หมู่บ้านในวันนี้ โดยรวมแล้วความพิเศษของที่นี้คือการที่เราได้ย้อนกลับไปสู่บรรยากาศหนัง The Lord of The Rings อีกครั้ง ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าถ้าใครที่ได้ชื่นชอบภาพยนต์เรื่องนี้เมื่อได้เดินชมรอบ ๆ แล้วก็จะนึกถึงตอนที่ไม่ว่าเจออะไรก็ตาม ก็จะนึกถึงภาพที่เราเคยได้ดูในหนัง ดังนั้นถ้าใครเป็นแฟนของหนังเรื่องนี้ก็ไม่ควรพลาดที่จะเพิ่มเข้าไปในหนึ่งโปรแกรมเที่ยวที่ประเทศ New Zealand ซึ่งที่แห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยที่เป็นตำนานของ โฟรโด ใน The Lord of The Rings และ บิลโบ ในเรื่อง The Hobbit ยังไงก็ต้องมาให้ได้นะครับ @ ภาพทั้งหมดโดยผู้เขียนเอง
่Jacksenko • 2 มิ.ย. 63
อ่าน
บทบาทของสตรีใน The Lord of the Rings ไตรภาค
กระแสแนวคิด “สตรีนิยม” เป็นแนวคิดที่ถูกขับเคลื่อนอยู่ในมโนทัศน์ของสังคมเรื่อยมาทุกยุคทุกสมัยเพราะการถูกกดขี่และความไม่เท่าเทียมทางเพศยังคงฝังรากอยู่ในสังคม ซึ่งในยุคศตวรรษที่ 21 นี้ กระแสแนวคิดสตรีนิยมให้ความสำคัญในเรื่องของร่างกาย โดยมองว่าร่างกายที่แตกต่างกันทำให้มีประสบการณ์ต่างกัน ปฏิเสธการแบ่งแยกระหว่างเพศสภาพและเพศทางสังคม รวมทั้งให้ความสนใจในความเฉพาะเจาะจง ความหลากหลาย และความแตกต่างของผู้หญิง ความขัดแย้งทางอัตลักษณ์และสถานะความเป็นผู้อื่น จึงไม่ใช่แค่การเรียกร้องสิทธิของเพศหญิง แต่เป็นการเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมกันของทุกเพศ จะเห็นได้ว่ามีการขับเคลื่อนเรื่องความเท่าเทียมทางเพศเกิดขึ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องการกดขี่ทางเพศ ความไม่เท่าเทียมกันทางการศึกษา ค่าจ้างการทำงาน และบทบาทในทางการเมือง ซึ่งหลังจากการขับเคลื่อนตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 จนถึงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าผู้หญิงและเพศทางเลือกเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในหลายภาคส่วน รวมไปถึงในเวทีการเมือง จะเห็นได้จากจำนวนนักการเมืองที่เป็นเพศหญิงที่มากขึ้น แต่จำนวนเหล่านั้นนับว่ายังน้อย และมีปริมาณที่เพิ่มขึ้นไม่มาก เมื่อเทียบกับเพศชาย หากมองบทบาททางการเมืองของเพศหญิงผ่าน “สื่อ” โดยเฉพาะสื่อที่ถ่ายทอดผ่านการประกอบสร้างเรื่องราวอย่าง “ภาพยนตร์” แล้ว คงมองข้ามเรื่องราวมหากาพย์อย่างภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings (ค.ศ.2001 – 2003) ไปไม่ได้ The Lord of the Rings เป็นภาพยนตร์ที่สร้างจากบทวรรณกรรมชื่อดังของ ศาสตราจารย์ เจอาร์อาร์ โทลคีน ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1954 ถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากบทประพันธ์เมื่อ 66 ปีก่อน แต่เนื้อหาเรื่องราวที่สอดแทรกความคิดนัยยะทางสังคมและการเมืองในเรื่องนั้นยังคงร่วมสมัย โดยศาสตราจารย์ ได้สร้างโลกใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า Middle -Earth เป็นโลกในจินตนาการที่มีหลากหลายเผ่าพันธุ์นอกเหนือจากมนุษย์ เช่น เอลฟ์ คนแคระ โทรล ฮอบบิทซึ่งเรื่องราวความแฟนตาซีเหล่านี้มีการยึดโยงกับโลกความเป็นจริงจากการใช้สัญญะจากลักษณะทางเผ่าพันธุ์ เพศ รูปร่างหน้าตา ที่เราจะเห็นถึงการแบ่งชนชั้น ความไม่เท่าเทียม การถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ที่มีอำนาจมากกว่าภายในเรื่อง ซึ่งเส้นเรื่องหลักของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการผจญภัยของ โฟรโด้ แบ็กกิ้น และสัมพันธมิตรแห่งวงแหวน เพื่อนำแหวนประมุขไปทำลาย โดยภายในเรื่อง The lord of the ring ไตรภาค มีตัวละครที่เป็นเพศหญิงเข้ามามีบทบาททางการเมือง ถึงแม้จะมีจำนวนน้อยกว่าเพศชาย แต่ผู้หญิงเหล่านี้ก็ถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการปกครอง การเปลี่ยนแปลงในสังคม หรือในโลกของ Middle -Earth ไม่น้อยไปกว่าตัวละครหลักที่เป็นเพศชาย ถือได้ว่าเป็นความตั้งใจของผู้แต่งวรรณกรรมอย่าง โทลคีน ที่พยายามถ่ายทอดความเก่งกาจของเพศหญิงไปในเรื่องราวของนวนิยาย ซึ่งได้ส่งทอดต่อมายังเรื่องราวในภาพยนตร์มหากาพย์เรื่องนี้ โดยตัวละครเพศหญิงที่จะนำมาวิเคราะห์ถึงบทบาท และความสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง หรือส่งผลต่อการเมืองการปกครองในเรื่องนั้น ประกอบไปด้วย กาลาเดรียล เอล์ฟหญิงที่เก่งกาจที่สุดใน Middle -Earth อาร์เวน มนุษย์กึ่งเอล์ฟ ลูกสาวของเอลรอนด์ผู้ปกครองริเวนเดลหรือเมืองแห่งเอล์ฟ และ เอโอวีน หลานสาวของกษัตริย์แห่งโรฮัน ซึ่งในรายงานฉบับนี้ต้องการศึกษาและสะท้อนบทบาททางการเมืองของตัวละครเพศหญิงในภาพยนตร์มหากาพย์เรื่อง The Lord of the Rings เพื่อนำเสนอแง่มุมความแข็งแกร่งของเพศหญิง ต่อการมีบทบาทและมีอำนาจทางสังคม ที่ปรากฏในวรรณกรรม 1) กาลาเดรียล เอล์ฟหญิงผู้ปกครองดินแดงแห่งแสงสว่าง นอกจากความสวยงามที่เป็นอมตะแล้ว เธอยังมีพลังที่กล้าแกร่ง สามารถอ่านใจ มองทะลุผู้คนได้อย่างปรุโปร่ง เป็นผู้หยั่งรู้ และฉลาดหลักแหลม เป็นหนึ่งในสามเอล์ฟที่ได้ครอบครองแหวนแห่งอำนาจ โดยในเรื่องนี้บทบาทหลักของกาลาเดรียลคือการช่วยชี้นำ ให้ผู้ถือแหวนอย่างโฟรโด้ และเหล่าคณะสัมพันธมิตรแห่งแหวน หันเหไปในทางที่ควรเป็น จุดประกายให้เห็นความหวังในการนำแหวนไปทำลายและให้เห็นถึงความล่มสลายหากภารกิจล้มเหลว ท่านหญิงกาลาเดรียลมักจะปรากฎบทบาทออกมาเป็นภาพในหัวของตัวละคร เพราะเธอเข้าไปพูดคุยให้ตัวละครเหล่านั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิด หรือตอกย้ำให้เชื่อมันในความคิดมากขึ้น เช่นในตอนที่คณะสัมพันธมิตรแห่งวงแหวนเดินทางผ่านมายังอาณาจักรของเธอ ตอนที่ได้พบกันครั้งแรก กาลาเดรียลเข้าไปพูดในหัวของทุกคน รวมไปถึงโบโรเมียร์ เธอพูดกับโบโรเมียร์เรื่องความหวังในการที่กอร์ดอนจะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เธอได้ตอกย้ำถึงความหวังที่มี ทำให้โบโรเมียร์รู้สึกตื่นกลัวเพราะตัวเขาได้โยนทิ้งความหวังเหล่านั้นไปแล้ว ซึ่งบทบาทของเธออาจจะดูน้อย แต่ทุกการกระทำของเธอล้วนส่งผลภายในต่อตัวละครหลักทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับโฟรโด้ แบ็กกิ้น จะเห็นได้จากตอนสถานการณ์คับขัน หรือช่วงที่โฟรโด้เจอกับความสิ้นหวัง คำพูดของกาลาเดรียลจะเข้ามาย้ำเตือนในหัวของเขา ทำให้เขามีความกล้า และเธอยังได้มอบแสงสว่างให้โฟรโด้ ที่ในภายหลังโฟรโด้ได้ใช้ในการเอาตัวรอดจากแมงมุมยักษ์ 2) อาร์เวน เอล์ฟครึ่งมนุษย์ ธิดาของเอลรอนด์ลอร์ดแห่งอาณาจักรเอลฟ์หรือริเวนเดล อาร์เวนเป็นหลานสาวของกาลาเดรียล เธอมีรูปโฉมงดงาม และมีพลังแกร่งกล้าในการรักษาเยียวยา บทบาทของอาร์เวนในเรื่องเป็นตัวละครที่ออกมาต่อสู้เพื่อ “ความรัก” เธอมอบความรักให้กับ อารากอร์น บุตรแห่งอาราธอร์น เธอยอมที่จะสละความเป็นอมมตะเพื่อครองรักกับอารากอร์น โดยในเรื่อง อาร์เวนปรากฎตัวตั้งแต่ภาคแรก การปรากฎตัวของเธอเข้ามาช่วยพลิกสถาณการณ์ที่ย่ำแย่ในตอนที่โฟรโด้ โดนภูติแหวนแทง เธอเป็นผู้ที่เข้ามาช่วยเยียวยาแล้วนำตัวเขาหนีจากพวกภูติไปยังริเวนเดลได้สำเร็จ โดยอาศัยพลังที่เธอมีอาจเรียกได้ว่า อาร์เวน เป็นตัวละครสำคัญที่ดึงให้อารากอร์นไม่สิ้นหวังตลอดทั้งเรื่อง อย่างในภาค The two towers ที่อารากอร์นพูดให้กำลังใจกับเด็กคนหนึ่งที่ถูกบังคับไปออกรบว่า “ความหวังยังมีเสมอ” แต่กลับมาคุยกับอาร์เวนว่า ตัวเขามอบความหวังให้ผู้อื่น แต่เขาเองกลับไม่มีความหวังเหล่านั้น และเป็นอาร์เวนทุกครั้งที่ดึงเขากลับมาให้ตั้งหลักได้ นอกจากความหวังที่เธอให้แก่อารากอร์นคนที่เธอรักแล้ว เธอยังสามารถเปลี่ยนใจ เอลรอนด์ ลอร์ดแห่งริเวนเดลผู้เป็นพ่อ ให้กลับมาสู้ร่วมกับมนุษย์อีกครั้ง โดยทำให้เอลรอนด์ส่งทหารไปช่วยชาวโรฮันที่ป้อมปราการเฮล์มคีฟ และเอลรอนด์ยอมตีดาบแตกนาร์ซิลขึ้นมาใหม่เพื่อมอบให้กับอารากอร์นให้อารากอร์นสามารถใช้ดาบแห่งกษัตริย์ดึงทัพของทหารผีที่ถูกสาปมาร่วมรบได้ ท้ายที่สุดแล้ว อาร์เวนก็สามารถต่อสู้เพื่อความรักของเธอได้สำเร็จ เธอได้ครองคู่กับอารากอร์นคนที่เธอรัก เธอมีส่วนที่ทำให้อารากอร์นยอมรับตัวเองในฐานะกษัตริย์ เรียกได้ว่าบทบาทของเธอตลอดทั้งเรื่องนั้นมีค่อนข้างมากในแง่การเป็นผู้สนับสนุนและขับเคลื่อนให้ภารกิจนี้สำเร็จผ่านความรักที่เธอมีให้กับอารากอร์น 3) เอโอวีน หลานสาวของกษัตริย์เธโอเดนที่ปกครองโรฮัน เอโอวีนปรากฎในภาพยนตร์ตั้งแต่ภาค The two tower เธอเป็นผู้หญิงชนชั้นสูงที่ใจกล้า เด็ดเดี่ยว ไม่ชอบการถูกบังคับ ในภาพยนตร์เอโอวีนเคยเล่าถึงสิ่งที่กลัวที่สุดกับอารากอร์นนั่นก็คือการถูกขังอยู่ใน “กรง” แต่อารากอร์นที่เจอเธอได้ไม่นานกลับบอกไปว่าเธอไม่มีทางที่จะอยู่ในกรงได้ ตัวตนที่เด็ดเดี่ยวของเอโอวีนทำให้ในเรื่องเธอเป็นเหมือนสตรีนักสู้ สู้เพื่อที่ตัวเองจะได้สู้เพื่อคนอื่นโดยปราศจากข้อกังขาเรื่องเพศ หรือฐานะชนชั้น โดยในตอนต้นที่เธอปรากฎตัว เอโอวีนแสดงให้เห็นถึงความต้องการอยากออกไปรบเพื่อประชาชน เธอปฏิเสธการอยู่เฉยๆโดยไม่ได้ช่วยผู้คน แต่ในภาค The two tower เธอยังไม่อาจขัดขืนคำสั่งของผู้เป็นลุงหรือเธโอเดนได้ ทำให้บทบาทในภาคนี้ของเอโอวีนคือการคอยช่วยประชาชนอยู่เบื้องหลัง จนกระทั้งในภาค The return of the king เธโอเดนสั่งให้เธอไปนั่งรอเฝ้าบัลลังก์จนกว่าสงครามจะจบ เอโอวีนขัดขืนคำสั่ง โดยการปลอมตัวเป็นชายแล้วพา “เมอร์รี่” ฮอปบิทที่ถูกปฏิเสธไม่ให้ไปรบ ไปกับเธอด้วยจนในที่สุดในการสู้ศึกครั้งนี้ เอโอวีนก็พิสูจน์ได้ว่า เธอสามารถออกมาสู้รบเพื่อปกป้องคนที่เธอรักได้ แม้ท้ายที่สุดแล้ว เธโอเดนผู้เป็นลุงที่เธอปกป้องต้องตายจากอาการบาดเจ็บอยู่ดี ถึงแม้บทบาทของเอโอวีนจะไม่มากเท่าอาร์เวน แต่เธอก็นับได้ว่าเป็นตัวแทนของกระแส “สตรีนิยม” ที่โลดแล่นอยู่ภายในเรื่อง เธอเสมือนเป็นนักเคลื่อนไหวที่พยายามทำให้สังคมรอบข้างมองเห็นเพศหญิงว่ามีความแข็งแกร่ง กล้าหาญไม่แพ้เพศชาย อีกทั้งเธอยังมีสายตาที่มองเห็นผู้คนอย่างเท่าเทียม อย่างที่เธอมอง เมอร์รี่ ที่เป็นฮอบบิทอย่างเสมอกัน และไม่ต้องการให้คนอื่นมาดูแคลนเขา โดยสรุปถึงแม้ตัวละครหญิงในเรื่องจะถูกจำกัดบทบาทจากสถานะทางสังคมหรือสภาพแวดล้อม เราจะเห็นว่าผู้หญิงที่มีสิทธิมีเสียงคือผู้หญิงที่มีชนชั้น มีอำนาจ แต่ถึงจะมีอำนาจก็ต้องต่อสู้กับความคิดในสังคมที่ชายเป็นใหญ่อยู่ดี อันจะเห็นได้จากการต่อสู้ของเอโอวีนภายในเรื่อง โดยบทบาทของพวกเธอนั้นล้วนเป็นส่วนหนึ่งที่นำไปสู่ความสำเร็จและการลงเอยด้วยดี แต่หากมองในอีกแง่ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็สามารถสะท้อนถึงสังคมปัจจุบันในเรื่องบทบาทของเพศหญิงในเวทีการเมือง ซึ่งถึงแม้จะมีเพศหญิงก้าวออกมาเป็นผู้นำมากขึ้น แต่ก็ยังมีอยู่จำนวนน้อย และบทบาทมีอย่างจำกัด ทำให้ยังคงมีการเรียกร้องขับเคลื่อนอยู่เรื่อยมา ภาพยนตร์เรื่อง The Lord of the Rings ไตรภาค ทำให้เราเห็นว่า แนวคิดสตรีนิยมไม่มีวันหายไปจากสังคม หากสังคมยังคงไม่เท่าเทียมกันสำหรับคนทุกคน ไม่แน่ในอนาคตหากมีการนำภาพยนตร์เรื่องนี้มาทำใหม่ เราอาจจะได้เห็นตัวละครเพศหญิงโลดแล่น มีบทบาทมากว่าที่ควรจะเป็น เพราะกระแสแนวคิดสตรีนิยมยังคงขับเคลื่อน และแปรเปลี่ยนความคิดของผู้คนในสังคมอยู่เสมอ ทำให้เรายังคงเห็นคุณค่าของสิทธิและความเท่าเทียม ถึงแม้มันอาจจะเปลี่ยนแปลงเติบโตได้อย่างช้าๆ แต่อย่างน้อยสิ่งมันเปลี่ยนแปลงก็สามารถส่งทอดไปต่อในอนาคตได้ ขอบคุณภาพประกอบจาก imdb : ภาพที่ 1, ภาพที่ 2, ภาพที่ 3, ภาพที่ 4, ภาพที่ 5, ภาพที่ 6, ภาพที่ 7, ภาพปกและขอขอบคุณ New Line Cinema
Maytalu • 27 เม.ย. 63
อ่าน
สิ่งที่ลูกเรียนรู้จาก The Lord of the Rings
(ภาพปกถ่ายโดยผู้เขียน)ช่วงนี้ลูกน้อยหอยสังข์ปิดเทอมแล้ว แต่ต้องงดโปรแกรมเที่ยวนอกบ้านทั้งหมด เพราะกลัวเชื้อโควิด 19 ดังนั้นจึงต้องเฟ้นหากิจกรรมทำที่บ้านแทน ไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือ วาดรูป เล่นเกม ดูหนัง หลังจากเปิดหนังให้เด็กดูไปแล้วหลายเรื่อง คราวนี้ก็ถึงตา The Lord of the Rings ตอน The Fellowship of the Ring อันที่จริงหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่เราชอบมาก เพราะเนื้อเรื่องสุดแสนจะแฟนตาซี และภาพก็สวยงามตระการตา เลยดูเหมือนว่า “เปิดเพราะตัวเองอยากดู” มากกว่า (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) หน้าปกแผ่น DVD หลังจากดูแล้วลูกปลื้มมาก (ก่อนหน้านี้คิดในใจว่า จะมีเรื่องอะไรมาโค่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่อยู่ในใจเด็กน้อยได้ไหมหนอ) เรื่องที่ทำให้รู้สึกขำคือเด็ก 7 ขวบ ก็ชอบอะไรคล้าย ๆ เราที่เป็นผู้ใหญ่ เพราะเขาฮือฮากับความสวยของฉากตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะริเวนเดลล์ซึ่งเป็นอาณาจักรของเอลฟ์ นอกจากความงามของฉากแล้ว คาแรคเตอร์ของตัวละครก็ทำให้หนังสนุกมากด้วยเช่นกัน หลังดูจบ เด็กน้อยมาถามเราว่า “ทายซิ หนูชอบใครในเรื่อง” เอาตรง ๆ ทายไม่ยากเลย แค่คิดว่าตัวเราเองชอบใคร ก็พอเดาได้แล้ว“เลโกลาสใช่มั้ย” “แม่รู้ได้ไง” เด็กถามหน้างง ๆ (เรานึก หึ ผู้หญิงส่วนใหญ่เจอตานี่เข้าไปก็ไม่รอดทั้งนั้น แม่เองก็ด้วย)ลูกเริ่มโตแล้ว หลังจากดูหนัง นอกจากความบันเทิง ควรได้ข้อคิดดี ๆ จากหนังเป็นของแถมด้วย เลยให้เขาลองวิเคราะห์ให้ฟังสัก 5 ข้อ ซึ่งเด็กน้อยก็ทำได้น่าพอใจทีเดียว(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) แผ่น DVD5 ข้อ ที่มาจากความคิดของเด็กมีดังนี้อย่าดูถูกคนตัวเล็ก คนตัวเล็กในที่นี้หมายถึงโฟรโด้ ลูกบอกว่า พวกคนตัวโต ๆ อย่างโบโรเมียร์ กาลาเดรียล อารากอร์น หรือแม้แต่แกนดาล์ฟ ซึ่งล้วนแต่เก่ง ๆ ด้วยกันทั้งนั้น ต่างก็ “หลงแหวน” มีเพียงฮอบบิทอย่างโฟรโด้ที่ไม่ถูกครอบงำ ถึงเขาจะเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีเวทมนตร์วิเศษอะไร และต่อสู้ไม่เป็นก็ตาม พอฟังลูกพูดแบบนี้ เราเลยสรุปให้ฟังอีกทีว่า ทุกคนล้วนแต่มีจุดเด่นจุดด้อยในตัวเอง อย่างโฟรโด้ ถึงจะตัวเล็ก ต่อสู้ไม่เก่ง แต่ก็เป็นตัวละครหลักของเรื่องที่ทำหน้าที่สำคัญที่สุด เพราะดูจะเป็นคนเดียวที่รอดพ้นจากการครอบงำของแหวน ดังนั้นจงอย่าดูถูกความสามารถหรือสบประมาทใครเป็นอันขาดเพื่อนสำคัญมาก ลูกบอกว่า ถ้าไม่มีเพื่อนอย่างแซม โฟรโด้จะต้องเดินทางคนเดียว ซึ่งระหว่างทางอันตรายมาก ลูกยังพูดถึงความเป็นเพื่อนระหว่างอารากอร์น เลโกลาส และกิมลีด้วย เด็กน้อยบอกว่า 3 คนนี้ถึงจะมีทะเลาะกันบ้าง แต่สุดท้ายก็ช่วยกันสู้ เราเสริมว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของมิตรภาพอย่างชัดเจน ลูกพูดถูก ถ้าไม่มีแซม ภารกิจของโฟรโด้ก็อาจจะไม่สำเร็จ เพราะมีหลายครั้งที่โฟรโด้กำลังจะเพลี่ยงพล้ำ แต่แซมก็ช่วยเขาให้รอดพ้นจากอันตราย คนเราต้องใจสู้และเข้มแข็ง ลูกบอกว่าประทับใจมากตอนที่เอลฟ์สวย ๆ อย่างอาร์เวนขี่ม้าพาโฟรโด้หนีพวกริงเรทส์ เด็กน้อยชอบที่อาร์เวนสู้ไม่ถอยและยอมเสี่ยงชีวิตตัวเอง สุดท้ายก็รอดพ้นจากการตามล่าของศัตรูได้ นอกจากความเข้มแข็งของอาร์เวนแล้ว ลูกยังชอบฉากที่แกนดาล์ฟต่อสู้กับอสูรร้ายบนสะพานด้วยความกล้าหาญด้วย เราเห็นด้วยกับลูก ทั้ง 2 ฉากแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวของตัวละคร ถึงแม้สิ่งที่ต้องเผชิญจะถือเป็นงานช้าง แต่ถ้าใจไม่ฝ่อโอกาสก็ยังมีอยู่เสมอคนเรากลับใจได้ ข้อคิดนี้ลูกได้จากโบโรเมียร์ ตอนแรก ๆ ที่ดูเด็กน้อยมักจะวิจารณ์ตัวละครนี้ว่า “เขาน่าจะคิดไม่ดีนะ” แต่บทสรุปสุดท้ายก็ทำให้เด็กเปลี่ยนใจบอกว่า “เขาก็ดีนะ” เราชอบข้อคิดนี้มาก บอกลูกว่าคนเราเปรียบได้กับสีเทา ไม่มีใครดีทั้งหมด และไม่มีใครเลว 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นคนเราจึงควรได้รับโอกาสในการแก้ไขปรับปรุงตัว เพียงแต่ต้องอยู่ภายในเงื่อนไงที่ยอมรับได้ความซนอาจทำให้คนอื่นเดือดร้อน พอได้ยินลูกพูดแบบนี้ คนเป็นแม่ก็ขำ ลูกบอกเมอร์รี่กับปิ๊บปินเป็นฮอบบิทที่ซนและมักจะก่อเรื่องเสมอ แล้วก็ได้เรื่องจริง ๆ อย่างตอนที่จุดไฟทำอาหารจนทำให้ศัตรูเห็น แล้วก็ตอนที่อยู่ในเมืองคนแคระ ทั้งคู่เป็นต้นเหตุให้คนในกลุ่มถูกโจมตีอย่างหนัก หลังจากฟังลูกพูดจบ เราเลยรีบสรุปโดยไม่ปล่อยให้เสียของว่า “เห็นแล้วใช่มั้ยว่าถ้าซนมาก ๆ ไม่รู้จักกาลเทศะ บางทีก็ทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน เพราะฉะนั้นหนูก็อย่าซนให้มากนัก โอเคมั้ย”(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) booklet ที่มาพร้อมกับแผ่นบ้านเราขอยกให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังในดวงใจ แม่ชอบ ลูกก็ชอบ และดูเหมือนจะชอบมากกว่าแม่ไปแล้วด้วย ที่สำคัญคือนอกจากความบันเทิงแล้ว หนังยังให้ข้อคิดดี ๆ มากมาย ปิดเทอมนี้ลองหามาให้เด็ก ๆ ดู เชื่อว่าความแฟนตาซีของหนังน่าจะช่วยเสริมสร้างจินตนาการ ส่วนเนื้อหาก็ช่วยส่งเสริมจริยธรรม แต่ขอแนะนำให้ผู้ปกครองอยู่ด้วยเพื่อเซนเซอร์บางฉากที่ไม่เหมาะกับเด็ก หรือคอยให้คำแนะนำขณะรับชม(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) ปกหลังแผ่น DVD
นภนันท • 13 มี.ค. 63
อ่าน
รีวิว หนังสือลอร์ดออฟเดอะริงส์ ( Lord of the Rings) ตอน มหันตภัยแห่งแหวน
รีวิว หนังสือลอร์ดออฟเดอะริงส์ ( Lord of the Rings) ตอน มหันตภัยแห่งแหวน ซารางเฮโย.. 💓💓พบกันอีกแล้วนะคะกับ Minion around chic สำหรับใครที่รักในการอ่านนิยายคงจะไม่มีทางไม่รู้จักหนังสือเล่มนี้เป็นแน่เป็นหนังสือมหากาพย์ อันน่าตื่นเต้นและมหัศจรรย์ของหนุ่มผู้หนึ่งที่มีตัวขนาดเล็ก ที่ชื่อว่า โฟรโด ชายหนุ่มผู้นี้อยู่ในเผ่าพันธุ์ คนตัวเล็กที่ชื่อว่าฮอบบิท มีความเกี่ยวข้องกับแหวนวงหนึ่งที่เขาได้มาด้วยความบังเอิญซึ่งทำให้เขาต้องออกไปผจญภัยในโลกกว้าง พูดแบบนี้แล้วทุกคนคงจะนึกได้ว่านั่นคือหนังสือ Lord of the Rings ตอนมหันตภัยแห่งแหวน ซึ่งเป็นหนังสือดีที่ได้รางวัลต่าง ๆ มากมายเยอะแยะ เดี๋ยวตามมาดูกันว่าทำไมหนังสือเล่มนี้จึงได้รับรางวัล และมีอะไรที่น่าสนใจบ้างในการผจญภัยของเขากันบ้างภาพโดย Minion Around chic หนังสือ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ( Lord of the Rings ) ตอน มหันตภัยแห่งแหวน ของผู้แต่ง คือ เจ.อาร์.อาร์.โทลคีน ถูกนำมาแปลโดยวัลลี ชื่นยง เป็นเรื่องเกี่ยวกับ เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อ โฟรโด ได้แหวนมาโดยบังเอิญ แบบนี้ถ้าใครได้ไปครองจะมีอำนาจปกครองโลกทั้งใบ ดังนั้น โฟรโด ต้องออกไปผจญภัยเพื่อทำลายแหวนและนำไปสู่สงครามครั้งยิ่งใหญ่ของโลก ในโลกจินตนาการของผู้เขียนเรื่องนี้นั้น ไม่ได้มีเพียงมนุษย์อาศัยอยู่เท่านั้นยังมีพาย คนแคระ โทลล์ ผีร้ายและเผ่าพันธุ์อื่น ๆ อีกหลายร้อยเผ่าพันธุ์ ซึ่งผู้เขียนอ่านแล้วมันมีความน่าสนุกมาก มีจำนวน 642 หน้า ในราคา 325 บาท หนังสือเป็นเล่มเล็ก ๆ แต่มีความหนา หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงคุณธรรมและความดีที่มีความซับซ้อนที่แตกต่างกันออกไป ในเนื้อเรื่องมีสงครามแหวนซึ่งเป็นการต่อสู้กันระหว่างความดีและความชั่ว ซึ่งความดีและความชั่วเหล่านี้ไม่สามารถ ตัดสินกันได้จากภายนอกที่มองเห็น มันมีหลายอย่างที่ซับซ้อนกันอยู่ ภายในเรื่องถูกดำเนินโดยหนุ่มน้อยเผ่าพันธุ์ Hobbit ผู้ครอบครองแหวน มีสองทางให้เด็กชายคนนี้เลือกระหว่างครอบครองมันแล้วกลายเป็นอสูรที่ดุร้ายหรือนำมันไปทำลายในจุดที่มันถูกสร้างมา และเขาเลือกแล้วที่จะนำมันไปทำลาย ภาพโดย Minion Around chic การเดินทางแห่งนี้มันมีเรื่องราวมากมายกว่าที่จะผ่านด่านแต่ละด่านไปได้เขาพบกับผู้คนที่จะมาช่วยเขา และคนเหล่านั้น มีทั้งคนที่คิดจะช่วยจริงและต้องการแย่งแหวนไปจากเขาเพื่อจะครอบครองโลกใบนี้แทน ซึ่งผู้เขียนของเรื่องนี้ใช้จินตนาการสูงมากในการคิดตัวละครถึง 100 กว่าคนบวกกับสถานที่ 100 กว่าแห่งที่เล่าเรื่องนี้ออกมาได้อย่างน่าสนุกและชวนติดตาม คือเหตุผลว่าทำไมเขาจึงได้รับรางวัลและถูกยกย่องให้เป็นหนังสือยอดเยี่ยมแห่งศตวรรษ The Master Piece of the Century มีอีกหลายรางวัลที่เขาได้รับรางวัลจากสถาบันต่าง ๆ ด้วยคะแนนอย่างล้นหลาม ไม่แต่เพียงเท่านี้ยังมีการแปลหนังสือ lot of The Ring เป็นภาษาต่าง ๆ เกือบ 40 ภาษา และตีพิมพ์มาแล้วกว่า 50 ล้าน ทั่วโลกภาพโดย Minion Around chic หนังสือ ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ( Lord of the Rings) มีด้วยกันถึง 3 ภาคแต่ภาคที่ผู้เขียนนำมาเสนอนี้เป็นภาคแรก ตอนมหันตภัยแห่งแหวนเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการผจญภัยที่บิลโบกำลังนำแหวนไปทำลายและเนื้อเรื่องนี้ ไม่มีตัวละครอยู่จริงแต่เป็นเพียงการสร้างขึ้นจากจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น มี 12 บท โดยบทที่ 1 เรื่องงานเลี้ยงที่รอคอย เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานเลี้ยงของ Hobbit ที่ ถูกจัดขึ้นเพราะว่า Hobbit มีนิสัยรักความสงบชอบเพาะปลูกพืชผักผลไม้และจัดงานสังสรรค์กันในครอบครัว กับผู้มาเยือนที่ไม่ได้ต้อนรับจะเป็นอย่างไรไปติดตามเนื้อเรื่องเอาเองน้า ความสนุกยังมีอีกเยอะ สำหรับวันนี้บายจ้า.. 👀👀
MinionAroundChic • 12 มี.ค. 63
อ่าน
ชวนลูกวิเคราะห์หลังดู The Lord of the Rings ภาคสอง
(ภาพปกถ่ายโดยผู้เขียน)หลังจากได้ดู The Lord of the Rings ภาคแรกแล้ว ลูกก็ขอดูภาคสอง หรือ The Two Towers ต่อทันทีในวันรุ่งขึ้น เพราะติดใจเนื้อเรื่องและฉากที่งดงาม เราเองก็อยากดูเหมือนกัน เลยตามใจลูกและตามใจตัวเองทันที ภาคสองเป็นภาคที่ตัวละครอย่างกอลลั่มมีบทบาทเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังมีตัวละครมาเพิ่มอีกหลายตัว ส่วนตัวละครหลักก็ยังคงเป็นตัวดำเนินเรื่อง ในภาคนี้โฟรโด้ยังต้องปฏิบัติภารกิจพิทักษ์แหวนต่อไป ในขณะที่เพื่อน ๆ ของเขาก็ต้องทำหน้าที่ต่อสู้กับกองทัพของซารูมาน พูดง่าย ๆ คือ ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง และต่างก็ต้องเจออุปสรรคเจอปัญหายาก ๆ มาให้แก้ไข ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เห็นมิติของตัวละครมากขึ้น(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) หน้าปกแผ่น DVDหลังจากดูจบ กิจกรรมที่ทำกับลูกคือ ช่วยกันวิเคราะห์ตัวละครที่สนใจ ลูกเลือกมา 5 ตัว ประกอบด้วยกอลลั่ม ในภาคนี้กอลลั่มปรากฏตัวบ่อย โดยรับหน้าที่เป็นผู้นำทางให้โฟรโด้ ตอนแรกที่โฟรโด้เลือกให้โอกาสกอลลั่ม ลูกพูดขึ้นมาทันทีว่า “เป็นหนู ๆ ไม่มีทางเชื่อกอลลั่ม” เราเลยบอกลูกว่า ให้รอดูไปก่อน อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่ากอลลั่มเลว หลังจากดูจนจบ ลูกบอกว่าก็ยังคิดคล้าย ๆ เดิมว่า กอลลั่มคิดไม่ซื่อ เพียงแต่อาจจะพอมีจิตสำนึกนิดหน่อย เห็นได้จากเวลาที่เขาสับสนทะเลาะกับตัวเอง ด้านที่ยังดีอยู่บ้างจะขัดแย้งกับด้านที่เลวแต่โดยภาพรวมเด็กน้อยคิดว่า กอลลั่มถูกครอบงำจนแก้ไขได้ยาก(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) แผ่น DVDแกนดาล์ฟ หลังจากดูภาคแรก แกนดาล์ฟเป็นตัวละครที่ลูกประทับใจ เพราะฉลาดรอบรู้และเก่งมาก ที่สำคัญคือมีคุณธรรม เด็กน้อยบอกว่าแกนดาล์ฟคล้ายกับอัลบัส ดัมเบิลดอร์ ในเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นเหมือนเสาหลักให้กับฝ่ายของตัวเอง สิ่งที่ลูกคิดคือถ้าไม่มีแกนดาล์ฟ แต่ละฝ่ายก็คงรวมกลุ่มกันยาก ซึ่งเราคิดว่าถูกเผงเลย ถ้าแกนดาล์ฟไม่เสียสละ ไม่โน้มน้าวทุกฝ่าย และไม่รวมทุกฝ่ายเข้าด้วยกัน แต่ละฝ่ายคงอยู่แบบตัวใครตัวมัน เราแม่ลูกจึงสรุปว่าแกนดาล์ฟคือตัวละครที่ “น่ารัก” ที่สุด (ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) แกนดาล์ฟอารากอร์น ทายาทแห่งกอนดอร์อย่างอารากอร์นเป็นตัวละครอีกตัวที่โดดเด่นมาก เด็กน้อยคิดว่าเขาเป็นคนที่เข้มแข็ง ไม่ยอมแพ้ ถึงจะรู้ว่าแทบไม่มีทางสู้ แต่ก็ไม่เคยสิ้นหวัง และความใจสู้ของเขายังเป็นเหมือนขวัญกำลังใจที่ช่วยกระตุ้นให้คนรอบข้างฮึกเหิมด้วย ลูกบอกว่าเพราะเขาเป็นคนดีและเก่ง เลยมีผู้หญิงสวย ๆ มาชอบตั้งสองคน เราก็ว่าจริง แต่ให้รอดูว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร เลโกลาส เด็กน้อยปลื้มตัวละครตัวนี้มาก บอกว่ายิงธนูเก่ง แล้วก็สุภาพ ประนีประนอม ไม่ใช่แนวก้าวร้าว ซึ่งตรงข้ามกับเพื่อนร่วมภารกิจอย่างกิมลีโดยสิ้นเชิง เด็กน้อยบอกดูเขาใจเย็น รอบคอบ ไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม แล้วก็รักเพื่อนมาก ตอนที่เพื่อนตกอยู่ในอันตราย เขาพยายามอย่างสุดกำลังที่จะช่วยเพื่อนให้ได้ ลูกบอกว่า “หนูไม่เห็นข้อเสียของเขาเลย” เราเลยบอกว่า “แต่เขาก็ยังหลงแหวน”(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) โปสการ์ดเลโกลาสที่มาพร้อม DVDเมอร์รี่กับปิ๊บปิน ลูกบอกว่าตัวละครสองตัวนี้ทำให้แปลกใจมาก ตอนดูภาคแรกดูเหมือนทั้งคู่มักจะสร้างแต่ปัญหา แต่พอมาภาคสองกลับมีบทบาทสำคัญส่งผลชี้เป็นชี้ตายว่าฝ่ายไหนจะชนะตอนรบกัน เด็กน้อยบอกว่า “อยู่ดี ๆ ก็กล้าหาญแล้วก็ฉลาดด้วย” เราว่าลูกวิเคราะห์ได้ดีทีเดียวในจุดนี้ สำหรับเราเอง เราคิดว่าตัวละครสองตัวนี้มีพัฒนาการมากที่สุดในภาคสอง โดยเปลี่ยนจากตัวปัญหามาเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกู้สถานการณ์(ภาพถ่ายโดยผู้เขียน) ปกหลัง DVDหลังจากดูหนังกับเด็ก ลองถามความคิดของเขาดู แล้วผู้ใหญ่อย่างเราจะรู้ว่าน่าสนใจไม่น้อย ที่สำคัญยังเป็นการกระตุ้นให้เขาคิดวิเคราะห์ ถือว่าได้ประโยชน์สองเด้ง ทั้งความสนุกสนานเพลิดเพลินและการรู้จักใช้สมองคิดพิจารณาสิ่งต่าง ๆ
นภนันท • 12 มี.ค. 63